เริ่มจากตั้งกะตอนซื้อมา พฤศจิกายน ขนยังไม่ขึ้น ก็ รีบบำรุงกันจะแย่ อยากเร่งให้ขนขึ้นไว ๆ เพราะ ปลายปี จะพาไปเที่ยวเชียงใหม่ ด้วย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/c1)
ดูสารรูปซิ สิ้นปี ขนจะงอกทันมั้ยว้า
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/c2)
จนก่อนไปเที่ยวสักอาทิตย์นึงก็ เช็คดู ว๊าวว ขนขึ้นเต็มหมดแล้ว ท่าจะทนหนาวได้ ก็วางใจได้ไปอีกนิ๊ด
ถึงวันไปเที่ยว ก็ตื่นเต้นว่า ขากลับจะได้ กลับด้วยกันตัวเป็น ๆ หรือกลับพร้อมซากเจ้าโยโย่ กะ บูบู้ มั้ยน้อ เพราะหนาววมัก ๆ หะ ๆแต่ก็ ท้าทายค่ะ คืนแรก จากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ ตรงดิ่งไปเที่ยวที่วัดร่องขุ่น ถ่ายรูปสองสามใบ ไม่กล้าเดินเล่นมาก เด๋วนกตื่น ตกใจ ก็เลยเห็นว่า ฟ้าจะมืดแล้ว ก็เลยรีบหาที่กางเต้นท์นอนที่ดอยสุเทพ-ปุย
ที่เห็นในภาพก็ เป็นตอนเช้าแล้วเพราะกว่าจะถึงจุดกางเต้นท์ ก็ต้องรีบ ต่างคนต่างทำงาน กางเต้นท์ของตัวเอง กว่าจะกางเสร็จก็มืดพอดี
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny12)
อากาศเมื่อคืนที่ผ่านมาอยู่ที่ 8 องศา ก็ ตำพอควร หนาวนิ๊ดหน่อย พอดีได้เต็นท์ดี ถามแม่ บอกว่า อูยย หนาวมัก ๆ เลยลูก ส่วนเจ้านกน้อย สองตัวตื่นขึ้นมายังตัวไม่แข็ง ยังดิ้นได้ เปิดผ้ามาก็ร้อง แก๊กๆ ๆ ..."โอวว โล่งจาย ยังมะตาย"
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny48)
ตื่นมาแล้วตอนเช้าก็ จัดการ หุงหาอาหาร อากาศตอนนี้ก็ ราว ๆ 14 องศาแล้ว (ขยันปีนขึ้นไปดูเทอโมมิเตอร์) แต่ก็ยังหนาวมาก ก็เลยเอา น.นก ทั้งสองตัวมายืนหน้าเตา เผือว่า จะอุ่นขึ้น ...แต่ด้วย ฤทธิ์ ไก่ย่าง ดูเหมือนว่า จะกลายเป็น นกรมควัญมากกว่า เหอะ ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny1)
ออกจาก ดอยสุเทพ - ปุย ก็ ว่าจะไปแวะบูชาสิ่งศักดิสิทธิ์ ก็ คนเย้อะมาก ๆ เลยว่าจะแวะมาขากลับ ซึ่งก็น่าจะผ่านเชียงใหม่ (วันไปถึงวันแรก นั้น 2 มค คนจะทยอยกลับกัน 3 มค.)
แวะดูหมู่บ้านม้งดอยปุย แป๊บบนึง ได้ลำไยอบแห้งมากิน ราคาถูก ๆ ถุงนึงครึ่งโล 120 บาท (ถุงใหญ่มาก ซื้อที่อื่น 160 แต่ต่อม้ง ร้อยเดียว)
จากนั้นก็แวะชักภาพ เป็นที่ระลึก ดูซิว่ามากันหมดบ้านเลยค่ะ นี่คือสมาชิกทั้งหมด ที่มาด้วยกันในรถ ข้างหลัง เป็น หมอกสวยมาก ๆ แต่ถ่ายไม่ติดเลยค่ะ ขาวหมดเลย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ccc)
ลงจากดอยปุย ก็มุ่งหน้า ไปเชียงรายทันที แต่ตาพี่เบียร์ คนขับไม่รูขับไปยังไง หลง ไปโผล่อีกทีก็ บ่อน้ำพุร้อน ที่ใหนสักที่นึง ก็ เอ๊า ๆ เมื่อคืน ไม่ได้อาบน้ำกันถ้วนหน้าจากภาวะอากาศหนาว (อ้างไปงั้นแหละค่ะ) ก็เลยพากันลงน้าแร่ แช่น้ำอุ่นกัน เป็นที่สบายไป
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ccc1)
หลังจากอาบน้ำอุ่น สบายตัวเรียบร้อย สติสตางค์ ก็ เริ่มจะกลับคืนมา ก็เริ่มเดินทางต่อไปยังสถานนีปลายทาง ดอยแม่ สลองที่ จริง ๆ ก็ยังไม่รู้ว่า ดอยนี้ขึ้นชื่อเรื่องอะไรบ้าง แต่ ช่างเหอะ นำหน้าว่าดอย แสดงว่า ต้องสวย เอ๊า ไปก็ไป.......
ขั้นตอนการเดินทาง ถนนค่อนข้างดี จัดแจงซื้อ วัตถุดิบ ฟืน ถ่านหุงข้าว หมูไก่ สำหรับย่าง เครื่องเคียง มะนาวน้ำปลาให้พร้อมก่อนขึ้นดอยซึ่งก็มีขาย ข้างทางเรียงราย
ช่วงที่จะขึ้นดอยนั่นเอง ระยะทางราว ๆ 30 กม. เป็นทางที่เริ่ม หฤโหด แล้วซิ ถนนก็ดีอยู่ แหละ แต่ เดี๋ยวก็ ชัน เดี๋ยวก็ ลาดลง ไม่มีทาง "ราบ" เลย ค่ะ เดี๋ยวโค้ง เดียวเลี้ยว โอยย ทำเอามึนหัวมัก ๆ
แล้วก็ ถึงแถว ๆ ยอดดอยตอนทุ่มนึง..... 30 กม. เดินทางกันชั่วโมงกว่า เหอะ ๆ กางเต้นท์ กัน ตอนไม่มีแสงอีกแล้วค่ะ ทรมาณ แต่ก็ พอดีมองเห็นอะไรแดง ๆ เหมือนศาลเจ้า เข้าไปดู ว๊าวว ลานกางเต้นท์ โล่งอก มีไฟฟ้า ด้วยค่ะ "ตื่นเต้น"
คืนนี้ ที่ดอยแม่สลองดูหนาวกว่า ที่ดอยปุยมากก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปมาฝากกัน (มือแข็งไปหมดแล้ว) กว่าจะได้ ฤกษ์ก็ สิบโมงเช้า เตรียมเก็บของไปเที่ยวที่อื่นต่อกัน เอ๊ะ ... แล้ว น.นก ประเด็นของเราหละ ....นี่จ้า มาด้วย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny47)
บรรยากาศดีมาก ๆ ค่ะ ใครไม่เห็น เจ้าโย่ และ บู้ ของติ๊ก ก็ ดูบนต้นบ้วยนะค้ะ (ต้นบ้วยจริง ๆ มีลูกด้วย)
นี่เป็น อาคารแปดเหลี่ยม ที่น้องติ๊กว่า เป็นศาลเจ้า แหละค่ะ เป็น ศูนย์ รวม บรรดาชาหอมชนิดต่าง ๆ ซึ่งพอดีน้องติ๊กไม่ค่อยชอบเท่าใหร่ เลยซื้อ เก็กฮวย มากินแทน กับบรรดาบ้วย ๆ ทั้งหลายค่ะหมดไปหลายร้อยเหมือนกัน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny2)
ตลอดเวลา คนขาย ชาวจีนยูนาน ก็ บรรยาสรรพคุณของชาเค้าซึ่งก็หอมจริง ๆ แต่เราไม่ค่อยชอบเท่าใหร่
อันนี้วิว ด้านหลังซึ่งติดภูเขา
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny3)
ให้ดูต้นท้ออีกที ติ๊กก็ไม่เคยเห็นเหมือนกัน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny4)
เจ้าโยโย่กะบูบู้ไปอยู่ใกล้ๆ เตาก็คงนึกว่าจะโดนย่างมั้ยน้อ
ออกจากดอยแม่สลอง ชิมชาอร่อยแล้ว ถ้าจะให้ครบก็ต้องแวะไปชิม ขาหมู - หมั่นโถว ยูนาน ด้วย แต่พอดีสมาชิกที่มาด้วยอิ่ม กับอาหารเช้า ที่เหลือจากเมื่อคืนแล้วอุ่นกินกันอีกทีเรียบร้อยแล้ว
ถัดไปก็เดินทางไปยังเส้นทางเขาลูกเดียวกัน (ซึ่งถ้ารู้ว่าทางมันนรกมากจะเลือกอ้อมไปวิ่งทางหลักซึ่งตรงกว่าถึงไวกว่าเย้อะ)
ซึ่งหนทางก็ไม่ได้ไกลอะไรมากเพราะเห็นว่า gps ตัวเก่ง บอกว่า ไปทางขวา (วิ่งบนภูเขา) จะใกล้กว่ามาก ราว ๆ 30 กม. แต่ถ้าลงไปวิ่งทางราบ จะต้องอ้อม ลงเขาก่อน 20 กม. และ ต่อด้วยทางตรงอีก 30 กม. ทำให้ได้คำตอบทันทีว่า เราจะต้องเดินทางลัดแน่นอน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo1)
ออกเดินทางมาได้ระยะหนึ่งก็ พบกับ รถจอดเรียงราย มองเข้าไปก็เห็นชาวเขา กลุ่มหนึ่งทำกิจกรรมอะไรก็เลยเข้าไปดูหน่อย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo2)
โอ้ว มีถังกฐินอยู่ก็เลยแวะไปทำบุญสักนิ๊ดดช่วยชาวบ้านสร้างสิงศักดิสิทธิ์ พาวนาว่าขอให้นกรักหนูมาก ๆ ไม่บินจากไปอีกค่ะ เพี้ยง ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo3)
มอง ๆ สอดแทรกเข้าไป อุ้ย !! ชาวเขา นี่ !! จะมีหล่อ ๆ มั้ยน้ออ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo4)
นี่เค้าเล่น อะไรกัน น่าสนุก
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo5)
อีกมุมนึงก็ มี ผู้สูงอายุอีกกลุ่มใหญ่ เล่นดนตรีพื้นบ้าน และร้องด้วยฟัง ๆ เหมือน สวดมนยังไงไม่รู้สิ แต่ก็ ได้บรรยากาศดีค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo6)
น้อง ๆ ชาวเขา นี่โตมาสวยกว่าน้องติ๊กแน่เรย เด็ก ๆ ยังน่ารักออกขนาดนี้ หะ ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo7)
ช่วงนี้ น้อง โย่ กะ บู้ ไม่ได้มีบทบาทอะไรเท่าใหร่ เพราะ คนเย้อะ เดี๋ยวจะเตลิดบินเข้าป่าไปเสียมากกว่าก็เลยให้อยู๋แต่ในตะกร้าค่ะ
หลังจากเมียง ๆ มอง ๆ อยู่นาน ก็อดไม่ได้ เห็นมันง่าย ๆ ไม่น่าจะยากแฮะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo8)
อุ๊ปส์
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo9)
น้องติ๊กก็เลย......... ไปเล่นด้วย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo10)
อุ้ยหย๋ออ ใครว่าไม่ยากหว่า....อิๆ โดนหนีบไปรอบนึงแระ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo11)
เอาอีก เอ๊า สู้ ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo12)
อุ๊ปส์ เข้าท่าแฮ้ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo14)
นี่ของเล่นของเด็ก ๆ ชาวเขา สนใจอยู่นาน อะไรค้ะเนี้ย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo18)
คอร์ปเตอร์ไม่ไฝ่จะหนู.... จับตรงนี้นะจ้ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo16)
เอ้า จับแน่น ๆ แล้วก็ ดึ๊งงงงงง
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo17)
ฮะ ฮา น่าสนุก แต่ก็ไม่ได้อุดหนุนเค้าเลยซักอัน ไม่รู้ว่าซื้อมาแล้วเด็กแถวบ้านมันจะเล่นกันหรือเปล่าค่ะ สงสารเค้าน้อ อันละ 10 บาทเอง
ถ่ายรูป กะหนู๋ มะ สิ บ่าด
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo19)
แดดออกแล้ว ท้องฟ้าสวยมากค่ะ แสบตาน้องติ๊กก็เลยไม่หันหน้าให้แดดค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/mo15)
จากหมู่บ้านชาวเขา เผ่าอีก้อแล้ว ก็ อุดหนุน เครื่องเงินจากหมู่บ้านเล็กน้อย แล้วก็ออกเดินทางต่อ ... แต่
จนแล้วจนรอด ทางไปทำไมมันได้ ทรหดขนาดนี้ ถามนักท่องเที่ยวที่ถึงดอยตุงแล้ว เค้าบอกว่า โอ๊ยย ทางนั้นไม่มีใครเค้าวื่งกันหรอก มีแต่ชาวบ้าน เค้าเรียก "ผาช้างวูบ" พี่เอ้ย ทางมันชันเกือบจะ 45 องศา แถมยัง เลี้อยเป็นงู คือพี่เอ้ยย มันเป็นโค้งตัว S แบบ รัสมีแคบ และต่อเนื่องกัน เป็นร้อย ๆ เมตร (ดูความสูงจาก gps) จาก 1200เมตร ร่วงมาเหลือ 7-800 เมตรในระยะเวลาไม่ถึง นาที ไอ้ตอนขึ้นก็พอทน กำลังเครื่อง d4d มันก็ลากด้วยเกียร์สองง่าย ๆ อยู่ แต่พอ ตอนลงนี่ละซิ เซียน ๆ ยังเหว๋อ ขนาด ล่อ เอ็นจิ้นเบรคที่เกียร์สองซึ่งว่าชิดแล้ว รอบเครื่องยังยันไปถึง 3500 รอบ เบรคนี่ เกือบจะ fade กันทีเดียวคะ (จะได้ลงเหวกันแร๊ววว) ((ที่ว่ามานี่ฟังจากคนขับอีกที่ค่ะ)) ส่วนน้องติ๊ก นอนตายอยู่ เบาะหน้า แร๊วว ม่ายหวาย เมา
ในที่สุด....ก็มาถึงดอยปุย จากทางด้านหลัง....หุ ๆ รถราเริ่มเย้อะมากขึ้น ก็ แวะพาแม่ ๆ น้อง ๆ ชมสวนดอกไม้ในอุทยานนี้ เสียค่าเข้าชมกันท่านละ 150 บาท แพงจัง แต่ บรรดาแม่ ๆ ดูเหมือนจะไม่ถูกใจเอาซะเลย ก็เลยใชเวลาอยู่ในสวนเพียงแป๊บเดียว
เปิดตะกร้าให้น้องโยโย่ กะบูบู้ ชมดอกไม้ สักหน่อย ค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny6)
ชักภาพ นิ๊ดนึง หนู ๆ ออกมาชมดอกไม้กันนะจ๊ะ แต่ห้ามบินน้า เด็ก ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/p1)
สวยจังเรย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/p2)
ดอกอะไรไม่รู้เหลืองเต็มไปหมด
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/p3)
สวนน้ำพุก็วางหินได้งดงามจริง ๆ นางแบบเป็นหลานติ๊กเองคะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/p4)
เอ๊า หนึ่ง .. สอง... สาม ชักภาพหมู่จ้า ไปตั้งหลายที่มีภาพหมู่แบบนี้ ไม่ถึง ห้าใบ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/p5)
อยากไปมั้งจัยเลยครับ
จากที่ดอยตุงนี้ ได้อุดหนุนสินค้าเพียงอย่างเดียวคือ ถั่ว แม็กคาเดเมีย ราคาแพงมาก ๆ ไม่เคยกิน แต่ ลองดูค่ะ 80 บาท มีกี่เม็ด คิดราคาราว ๆ เม็ดละ 5 บาท อูวววว หลังจากกินแล้ว..... เม็ดมะม่วงหิมพานบ้านเราน่าจะคุ้มค่ากว่า
ออกจาก ดอยตุงก็ มุ่งตรงสู่แม่สอดข้ามไป แดนพม่า ตรงจุดนี้ น.นก ของติ๊ก ไม่ได้ ไปด้วยเพราะต้องเสียเวลาทำ บอเดอร์ pass พอดี บัตรประจำตัวนกไม่ได้เอามาด้วย จะใช้ห่วงคล้องขาแทนก็ไม่ได้ก็เลยอดไปนะจะ โย่จ๋า ความจริงกลัวติดโรคจากฝั่งโน้นมามากกว่า งานนี้ โย่ กะ บู้ เฝ้ารถค่ะ แต่เสียดาย งานนี้กล้องไม่กล้าพกไป เงินสดเอาไปแค่ คนละพันเดียว กลัวจะโดนฉกค่ะ บ้านป่าเมืองเถือน หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่อยากจะไปค่า เสียค่า ธรรมเนียมบ้านเรา 30 บาท และค่าเหยียบประเทศมันอีก 20 บาทค่ะ
เดินดู ๆ ไป มือถือโนเกีย รุ่นท๊อป ๆ นี่ทำเหมือนทีเดียวแต่เปิดมาไม่ใช่ รวมถึง pocket PC รุ่นใหญ่ๆ อย่าง samsung Omnia นี่ บ้านเรา สองหมื่นกว่า ที่โน่น แปดพัน หะ ๆ i phone 3G ก็มีนะ เครื่องละไม่ถึงหมื่น โอววว แต่เอามาเปิดดู บ๊ะ นี่มันอะไรฟระเนี้ย os ไม่ใช่ apple แฮ้ะ ดูแล้วขำ ๆ ลดราคากระหน่ำ เลยไม่เอาดีก่า มีปัญหา เดือดร้อนอีก
ก็เลยผ่าน ๆ เข้าไปซื้อของถูก ๆ ประเภท หิ้วตะกร้าคล้องคอมาขาย
คนขาย: นาฬิกาปลุก 20 เอามั้ย
เรา ไม่เอา
คนขาย งั้น 10 บาท
เรา ไม่เอา
คนขาย เอ๊า ๆ ห้าบาท
เรา โอยยไม่เอาหรอกค่า ไม่รู้จะเอาไปทำไร
คนขาย อะ อะ ให้ฟรี
อิ ๆ มาฟอร์มเดียวกันหมด เรย พอดีคุณแม่ อดใจไม่ใหว ลูกตึ้อ เลยเอามา 20 ได้เกือบหมดตะกร้ามันเลยค่ะ ถุงเท้า ไฟฉาย ไฟแช้ก นาฬิกาปลุก ทำนองนั้น
เดินกลับมาที่รถ ยังไม่ถึงดี เจ้าโยโย่ ได้ยินเสียงเดินมาแต่ไกลก็เปล่งเสียงเรียก แกว๊ก ๆ ซะแล้ว แสดงว่า พวกนี้มันรู้ว่าเรากำลังเดินมา ก็เลยให้กินเก๋าลักที่ซื้อมาจากฝั่งพม่าสบายไป
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny7)
นี่ๆ ยังมีอีกเรื่องเกือบเสียฟอร์ม แน่ะ เกือบโดนหลอกขายปูทะเล โลละ 50 บาท ตัวเบ่อเริ่มแน่ะ ซื้อ หนองมนมีไม่ต่ำกว่าโลละ 300 แน่ ๆ เลยหยิบมา 8 ตัว เป็น ๆ คิดคร่าวๆ ไม่น่าเกิน 4 โล ก็ แค่ สองร้อย พอมันเอาไปชั่ง โอ๊ววว 7 โล แม่เจ้า พอแม่เริ่มโวยวาย มันก็มากระซิบบอกว่า กิโลพม่า มัน 7 ขีด กิโลไทย 10 ขีด บ๊ะ เอาเปรียบกันชัด ๆ กิโลกรัมนี่มันเป้น หลักชั่ง สากลไปแล้วไม่ใช่เร๊อ เหมือนกับ ปอนด์ ซีซี เมตร กิโลเมตร แสดงว่า บ้านมัน หนึ่งกิโลเมตร มี 700 เมตรเหมือนกันหรือไง หว๋า แต่ก็ ไม่เป็นไร คิดเงินแล้วยังแค่ 350 บาท ถูกกว่าเห็น ๆ ก็เลย เอามา แต่พอมันกำลังใส่ถุง พอดีแม่เหลือบไปเห็นว่า มันกำลังเอาปูที่ตายแบบ.... ข้อจะหลุดแล้วกำลังใส่ให้ แต่ ก็ไม่ได้เอะใจอะไรนึกว่าของคนอื่น แต่พอมันใส่ถุงให้เราก็เลยโวยวาย เฮ้ย ไอ้ที่เลือกไว้เป็น ๆ ไปอยู่ใหนหมด พอเห็นท่าไม่ดี มันรีบ วิ่งกลับแดนมันเลย ตามไปทำไรมันไม่ได้ หะ ๆ เลยอดกินปูเลย
ตลอดทางยังไม่เจอร้านขาย สตรอเบอร์รี่เลยสักร้าน ส่วนคุณแม่ ก็อยากจะเห็น สวนสตรอเบอรี่สักครั้งหน้าตาเป็นยังไงถามชาวบ้านเค้าบอกว่า ต้องไปอ่างขางโน่นนน !! อุ้ยหย๋อ สถานที่เที่ยวใหม่ บังเกิดขึ้นแล้วจิ แต่ตอนนี้เราอยู่เชียงรายนะ ยังไม่ได้ ไป ภูชี้ฟ้าเลยค่ะ.....
คืนนี้ก็ เลยพักแถว ๆ สามเหลี่ยมทองคำไม่ต้องกางเต้นท์ พอดีได้บ้านพักหลังใหญ่ ราคา คืนละ 700 มีน้ำอุ่น ว๊าววว สบายไป
มาโพสเข้าเรื่องต่อดีก่า
หลับสบาย คืนนี้ไม่ได้ กางเต้นท์ และตอนเช้าก็ไม่ต้องตื่นมาเก็บ ไม่เหนือย แต่ ก็ด้วยความนอนสบายจัด กว่าจะพร้อมเดินทางต่อปาไป 10โมงเช้าเหมือนทุกวันออกจาก เกสเฮ้าส์แล้วก็ มาใหว้พระใหญ่ บนเรือทีเกยฝั่ง เอ.. หรือต้องบอกว่า ฝั่งที่ทำเป็นเรือน้าหะ ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny43)
มองด้านตรงก็ สวยไม่ใช่เล่นค่ะ แต่เวลานี้ถ่ายรูปไม่ได้แล้ว แดดแยงตาเอามาก ๆ แต่เห็นแดดแรง ๆ อย่างนี้ อากาศยังเย็น เฉียบอยู่เรยค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny8)
ไปแวะนั่งถ่ายรูปรายทางเล็กน้อยก่อนไปรับประทานอาหาร
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny9)
แล้วก็รับประทานอาหารเช้ากันด้วยเวลา 11 โมงกว่า ๆ จะเที่ยงอยู่แร๊วว
เห็นร้าน ดู ลูกทุ่ง ๆ แบบนี้ ราคานี่ อินเตอร์เลยค่ะ รสชาต อาหารก็ไม่ถึงกับ ทุเรศซะทีเดียว แต่ส่วนใหญ่ ไม่อร่อยค่ะ สงสัยนั่งไม่ถูกร้าน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny10)
นกสวยดีครับ
อากาศหนาวขนาดนั้น
เป็นผมนอนอยู่บ้านกะนกแน่นอน
อิอิ
น่าสนุกจัง พี่ติ๊กไม่อาบน้ำแน่ๆเลย หนาวขนาดนั้น อิอิ
ยังไม่จบน้า งานเข้าเย้อะมาก ๆ เดี๋ยวมา ต่อ ยังเหลืออีก สองที่จะมาพรีเซ็นต์ให้ชมกัน จ้าอ้างถึงsamurai เป็นผู้เขียน:
น่าสนุกจัง พี่ติ๊กไม่อาบน้ำแน่ๆเลย หนาวขนาดนั้น อิอิ
แหม๋ ๆๆ ...ทำเป็นรู้ดี... อิอิ :-D :-D
เกลียดจริงเชียวคนรู้ทัน เฮ้ออออ
ไปเที่ยวไม่ชวนเลยนะ มิน่าช่วงนั้นหายไปเลย อิอิอิ
ไปอยู่เชียงรายช่วงเดียวกะ อู๋เลย แถมไปเที่ยวที่เดียวกันอีกตะหาก 555
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้ว ก็นึ้กครึ้มใจว่าไอ้ฝั่งลาวกับ กัมพูชานี่จะมีอะไรแปลก ๆ ขายป่าวน้า ก็ เลยเช่าเรือข้ามไปดูกัน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny11)
ใส่เสื้อชูชีพแล้วก็ บรืน ๆ ไปดูฝั่งกระโน้นน เอะ นี่อะไร เห็นเค้าว่า จะกลายเป็นบ่อนแห่งใหม่ ทั้ง ๆ ที่คนไทยไปสร้างไว้ แสดงว่า คนไทยเราชอบ เอาเงินไปทิ้งต่างแดนสูง
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny14)
ไปดูบ่อน แล้ว ก็ ไปฝั่งที่สองซึ่งเป็นคนละประเทศกัน นั่งเรื่อแป๊บเดียวก็ถึง
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny15)
ถึงแล้วจ้า ได้เหยียบประเทศลาวแล้ว เห็นมะ แป๊บเดียว เที่ยวสองประเทศ ค่าเหยียบแผ่นดินเค้า คนละ 20 บาท ว๊าววว เอาเปรียบนักท่องเที่ยวนี่หว่า
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny16)
ช๊อปปิ้งหาดูของแปลก ๆ เอ... แบบนี้ยังไม่แปลกเท่าใหร่ เป็น เครื่องเงิน ผ้าใหม่
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny17)
ร้านนี้ก็ คลาสสิคดี ดูเผิน ๆ จะไม่เห็นอะไร ดู ๆ ไป...อู๊ยย ของงานฝีมือทั้งนั้นเลย ติ๊กเลยซื้อตะเกียบเทพ มาชุดนึง ขาย 450 ทำด้วยไม้ แกะทั้งอัน แล้วก็ ยอดเสียบด้วย ไม่รู้หินอ่อน หรือ อะไรขาว ๆ หนัก ๆ ดี ค่ะ สวยมาก แต่ติ๊กต่อเหลือ 300 คนขายก็ทำใจอยู่นาน วันนี้ทั้งวันไม่ได้ไรเลยก็ เลยกำขี้ดีกว่ากำตด
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny18)
กล่องใส่ของเหล่านี้ทำด้วย หินค่ะ จับแล้วเย็นจัดเลยค่ะสวยมาก ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny19)
เจ้าบูบูกับ โยโย่ ก็ เกาะขอบตะกร้า ชมของแปลกไปกับเค้าด้วย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny34)
และแล้วก็เจอของแปลกจนได้ค่ะ เป็นงูเอย ตะขาบเอย นกเอย....หูยย แมงป่อง โอย เย้อะค่ะ เอามาดองเหล้า อย่างนี้ขาเหล้า ยังแหย๋ง แต่ก็ เป็น ธรรมเนียมบ้านเค้ารับประทานกันอย่างนี้ค่ะ เหมือนบ้านเราร้องคาราโอเกะต้องมีสาว นั่นเองก๊า
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny44)
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny45)
เดินกันนานจัด ตกลงเราชาวไทยเอาเงินไปแลกของที่ฝั่งลาวสุทธิ ห้าคน เสียไปพันเดียวค่ะ ได้ ตะเกียบ ผ้าปูที่นอน กรอบรูปงานฝีมือสวย ๆ และของฝากสำหรับเด็ก ๆ จำพวก ที่เสียบดินสอ เป็นต้น แล้วเราก็เดินทางกลับไปลงเรือเพื่อจะกลับฝั่งไทย
แต่เอ๊ะ ... นกหนูหายไปใหนแร๊ว ทุกทีเกาะอยู่ ขอบตะกร้า อากาศเริ่มร้อนแล้ว เปิดกล่องดู ไอ้หย๋า.........
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny20)
คุณแม่ เห็นแล้วก็สงสัยเอานิ้วไปจิ้มๆ ดูว่าตายยัง
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny22)
อุ๊ย ยังตอบสนองอยู่ ยังค่ะ ยังไม่ตาย คริ ๆ คุณแม่น้องติ๊ก อุทาน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny21)
เสร็จจากสามเหลี่ยมทองคำแล้ว ประมาณ เกือบ ๆ จะบ่ายสองวันใช้เวลาสำหรับที่นี่ประมาณ สี่ ชม. รวมรับประทานอาหาร ก็ออกเดินทางไปยังภูชี้ฟ้า ค่ะ อยากไปมาก ๆ ครั้งหนึ่งอยากไปดูทะเลหมอก หน้าตามันเป็นยังไง เคยเห็นแต่ในรูป ใบเล็ก ๆ
ก็ ออกเดินทางโดยใช้ทางลัดมาโดยตลอด โชคดีที่พก gps มาได้ ประโยชน์ จริงๆ ทางที่ไม่เห็นในแผนที่ (กระดาษ) จะมองเห็นใน gps นี่ ใช้คุ้มมาก เพราะไม่งั้นเราจะต้องเดินทางเลาะตะเข็บประเทศไทยไปจนถึงแถว ๆ ฐานริมฟ้าไทยนั่นเองค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/map1)
แต่เส้นทางที่ไปทางลัดนี้ ใช้ความเร็วไม่ค่อยได้ เพราะ gps พาผ่านหมู่บ้าน เด็กเล็ก เลิกเรียนกัน นั่งเล่น หมากเก็บกันแทบจะริมถนนเลยส่วนใหญ่ก็ เป็นชาวเขาค่ะ น่ารักหมวย ๆ ตี๋ ๆ ทั้งนั้นเลย
โชคดีที่เอา vigo preruner มาเพราะทาง หลุม ใหญ่มาก ๆ ถ้าเอารถยนต์ มาคงจะแย่ (จริงๆ ไม่มีค่ะ รถเก๋งที่ว่านั่น) อิๆ
ถึงแล้วภูชี้ฟ้า...... เดินทางด้วยความยากลำบาก
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny25)
เส้นทางขึนภูชี้ฟ้า ไม่ค่อยชันมากเท่าใหร่ เดินทางเกียร์สามสบายมากค่ะ ติดตรงโค้ง เลาะเขานี่ น่ากลัวดีชะมัดค่ะ แต่ บ่ยั่น เพราะขับโดย นักแข่งมือกระจอก อย่างพี่เบียร์ค่ะ ถึงแล้วก็ ค้างที่นั่นวันนึงทำกับข้าวกินได้ ข้างรถเลย (เป็นที่แรกที่เอารถไปจอดใกล้รถได้ค่ะ สะดวกมาก ๆ แต่ทางลงนี่ แบบ พอดีคัน น่ากลัวดี แต่คืนนี้สบายค่ะ มีแสงสว่างจากกองฟืนที่ เจ้าหน้าที่เอามาจำหน่ายให้ กองละห้าสิบบาท พร้อม ตะเกียง ขวดลิโพ ขวดละ ยี่สิบ คืนนี้ รับประทานอาหารอร่อย ค่ะ มีสตรอเบอรรี่ จิบพร้อมไวน์ลูกหม่อน อร่อย ดีพิลึก กินไก่ย่างสด ๆ ทำกับข้าวแบบพอมีพอกินแต่ ตรงนี้ไม่มีภาพค่ะ มืดมาก ถึงเต้นท์ก็ หิวกัน มาก ๆ รีบทำกับข้าวกินกันแล้วก็นอน
ตื่นมาก็ มาชมยอดภูชี้ฟ้า ว่าหน้าตาจะเป็นยังไงค่ะ
นั่งรถขึ้นมาจากจุดกางเต้นท์ ประมาณ กิโลนึง แล้วก็ เดินอีก 700 เมตรค่ะ ทางขึ้นชัน ราว ๆ 35องศา ทำให้ ระยะเหมือนจะถูกยืดเป็น กิโลก่วา ๆ
แลวในที่สุด.......... เห็นแล้ววววว !! ดีจัยค่ะ ถ่ายรูปมาฝากกัน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny24)
ดูจน ปากซีด (อากาศน้อยค่ะ เดินนิ๊ด ๆ ก็เหนือยแล้ว) หายใจแรง ๆ กันทั้งกลุมเลย เหมือนสูดเท่าใหร่ก็ ไม่เต็มปอดซักที กลับมาที่เต้นท์ ก็ นำ น.นก มาสูดอากาศ เล่นดีก่า ตอนนอน นี่ออกจะเครียด ๆ เพราะไม่มี ไฟกก กลัวนกจะหนาว เอามาซุกในเสื้อหนาวก็กลัว จะนอนทับมันตาย ก็เลยเอา ผ้า ห่ม หนา ๆ คลุมตัวมันตรง ๆ เลย ไม่ต้องขยับกัน หะ ๆตื่นเช้ามา ท่าใหนก็ ท่านั้น ไม่กระดิกค่ะ ร้องกรี๊ด ๆ เป็นที่เรียกความสนใจ
ก็เลยเอาออกมาสูดอากาศซักหน่อย
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny28)
หนาวววมักค่ะ น่าจะไม่เกิน 10 องศา หรือ+ นิ๊ดหน่อย แต่...
หนู ๆ ก็อยู่กันได้จ้า บ่ ย่าน ที่กล้าเอาออกมาเพราะเห็นนกท้องถิ่น ได้แก่ นกปรอดหัวจุกบินเล่นกัน เย้อะมาก ๆ ก็เลยเอาออกมาเดินเล่นกัน ทำขนฟูกันอย่างที่เห็น
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny29)
เอ้า ๆ ฟีดอาหารหน่อยจ้า เมี้ยว ๆ ๆ ๆ เด็ก ๆ ก็เดินมากินกันโดยดี
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny26)
วิธีป้อนอาหารน้องติ๊กไม่นิยมใช้สายใส้ไก่ค่ะ เพราะหวังผลสองอย่าง อย่างแรก ป้องกันไม่ให้ มันหลุดลงไปในท้อง (เคยหลุดลงไปแล้วค่ะ ตั้งแต่นั้นมาเลิกเลยค่ะ กินได้ก็กิน แล้วกันนะหนู ) ซึ่งก็ดูเหมือนเค้าจะชอบแบบนี้มากกว่าเพราะได้ลิ้มรสชาติ เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่ติ๊กได้บรรจงใส่ลงไปด้วย พร้อมกัน กับ "เกสรผึ้ง" ซึ่งระบุสรรพคุณไว้อ่ย่างดี ว่ามีฤทธิ น่าอรรศจรรย์หากท่านลองรับประทานตอนเช้า สัก 1 ช้อนชาเท่านั้น เหอะ ๆ มิน่าหละ นกน้องติ๊ก ถึงได้คึ้กครื้น กันจริง ๆ ทนหนาวไม่ทนร้อนค่ะ หะ ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny27)
อ้อ ๆ วันนี้นี่เอง เจ้าบูบู้ ได้เริ่มหัดบินเป็นครั้งแรกค่ะ หลังจากป้อนอาหารเสร็จแล้วอิ้ม จนพอใจ แดดเริ่มออก เครื่องก็เริ่มร้อนอยากจะบินค่ะ แต่ การบินครั้งแรกนี่ น่ากลัวค่ะ เหมือนเค้ายังบังคับปีกตัวเองยังไม่ได้ กลับลำไม่เป็น ตรงลิ่ว ๆ ๆ ๆ ลงเหวอย่างเดียวเลยค่ะ อูยยยย (ลานกางเต้นท์ จะเป็นลักษณะขั้นบรรได ไปประมาณ ห้าหกชั้นแล้วก็ เป็น หน้าผา)
เสร็จจากภูชี้ฟ้าแล้ว ก็คิดกันอยู่นานว่าจะไปใหนดี ใจก็กะจะไปนอน ดอยอินทนนท์ เพราะ เคยไปแล้วบรรยากาศดี ถนนก็ดี ไม่ชันเกินไป (ยกเว้นตอนจะไปจุดสูงสุดของประเทศตรงนั้น เห็นคลัชใหม้ไปหลายคัน สำหรับปีนี้)
แต่คุณแม่ก็ยังไม่ได้เห็น สวนสตรอเบอรรี่เลย แถม สตรอเบอรี่ก็ยังหาซื้อไม่ได้อีกต่างหาก มีแต่น้ำสตรอเบอรี่ซึ่งกินน้ำแดงแฟนต้าอร่อยกว่า ก็เลยตัดสินใจ ข้ามทวีบไป ดอยอ่างข่างค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/map2)
จาก ขวาสุดไปซ้ายสุด ไม่รู้คิดยังไงแต่ก็ ด้วยความอยากเห็น และความที่ว่า เมืองไทย ไม่ไปไม่รู้ค่ะ ก็เลย ไปโดย เลือก เอาทางลัดที่สุดเช่นเดียวกัน แต่ลัดได้ไม่นานค่ะ เปลี่ยนใจ เพราะพี่ทั่นเล่นพาลงทางแบบ off road เลยค่ะ ล่อหินโดด ทางโคลน พื้นชันและลื่น +โค้ง แบบ ที่ชลอไม่ได้ หะ ๆ เป้นยังไงอะหรอ คนขับเค้าเล่าให้ฟังว่า ทางเข้า มันมีป้ายบอกว่า ผ่านได้เฉพาะรถขับเคลื่อน 4 ล้อ เป็นป้ายทางหลวงที่ปักเตือนไว้ไม่ใช่ป้ายเขียนด้วยสีทาบ้านเหมือนที่ภูชี้ฟ้า ก็เลยเปรี้ยว ท้าทายเข้าไปทั้ง ๆ ที่รถตัวเองเป็น preruner ขับสองล้อ แต่มีดีที่ติดตั้ง ระบบ LSD. ลงไปด้วย ที่เฟืองท้าย ทำให้ สองล้อเป็นสองล้อจริง ๆ มิใช่ ล้อข้างหนึ่งลอย ก็ ไปไม่ได้ เสียแล้วหรือเรียกว่า ติดหล่มนั่นเองค่ะ
ทางที่ชันมาก และเป็น ทางหินโดด (ก้อนหินก้อนใหญ่ ที่ฝ้งใต้พื้นแล้วโผล่แพลมออกมาครึ่งก้อน ขนาดสัก ครึ่งเมตรถึงหนึ่งเมตรค่ะ) พร้อมกรวดลูกรัง แบบ ชื้น ๆ พร้อมที่จะล้อฟรีได้เสมอ ทางชันเกือบจะ 45 ย้ำค่ะ ว่าเกือบจะ 45 จริง ๆ ขาลง น้องติ๊กนั่งกระบะท้าย นี่เกือบจะยืนได้เลย แต่ขาขึ้น น่ากลัวกว่า พี่เค้าเหยียบ ๆ ๆ แบบ ไม่ยั้ง เจอทางเลี้ยวแบบหักศอก แต่ความชันไม่ลดเลย ก็จำใจต้อง เหยียบส่ง พร้อมเลี้ยวขึ้นไปพร้อม ๆ กัน เห็นว่า ถ้า ท้ายปัดไปกระแทกเนินดินก็ต้องยอมดีกว่า อยู่กินข้าวลิง (ใบไม้) ที่นี่
ตรงนี้ไม่มีรูปค่ะ เพราะรอดออกมาได้ นี่ก็ดีใจมาก ๆ คราวหน้าจะเอา 4*4 ของจริงมาล้างแค้นค่ะเส้นนี้ เหอะ ๆ
วันนี้ออกเดินทางกันตั้งแต่หัววัน (10 โมงเหมือนเดิมแหละค่ะ) ไม่เคยเช้ากว่านี้ซักทีกว่าจะเก็บเต้นท์ หม้อให ล้างจาน กันเรียบร้อยก็เหนือยพอดี เดินทางข้ามทวีบครั้งนี้ ใช้เวลาค่อนข้างนาน คือราว ๆ 5 ชม.แต่ก็ คุ้มค่าค่ะ อ่างขางสวยมาก ๆ ติ๊กไปแวะลานกางเต้นของศูนย์ กางเต้นท์แถวนั้น บรรยากาศดี ไม่ค่อยมีคน เพราะแห่กันกลับไปหมดแล้วพร้อมกับร้านรวงที่ ปิดหนีคนไปล่วงหน้า
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny30)
ต้นสนเย้อะมากค่ะ ทำให้ดูร่มรื่น ต้นพญาเสือโคร่งก็เบ่งบาน คล้ายกับซากุระ ญี่ปุ่น ตลอดทาง ดูสวยงามมาก ๆ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny31)
วันนี้เป็นวันแรกตลอดเจ็ดวันที่ได้ มีโอกาศกางเต้นท์ ในขณะที่มีแสงอยู่ และได้ทำกับข้าวแบบที่ไม่ลำบากนักเพราะมีทั้งฟืนและ ถ่านไฟ พร้อมโต้ะกินข้าวทำจากไม้ หรูหราเชียว ถือเป็นวันที่ เพอเฟกที่สุดค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny32)
เริ่มเย็นลงก็ยิ่งอากาศเย็นมากขึ้น เย็นลงเรื่อย ๆ แค่ ทุ่มเดียวอากาศเย็นลงถึง 8 องศา โอววว ถือว่าหนาว ทีเดียว ค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny33)
หลานสาวก็ แอบเอากล้องไปดักถ่ายสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ดูไม่ออกเลย เห็นดูดีรูปนี้รูปเดียวที่เหมือนโฆษณาหนัง เรื่อง แบลวิช โพรเจค อิๆ
สองทุ่มแล้ว เย็นลงเรื่อย ๆ ค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny35)
ขนาดแมวเหมียวยังมานอนชิดไฟขนาดนี้ ยังไม่ร้อน คิดดูเอาแล้วกัน
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny36)
คืนนี้..... เย็นที่สุด อาจจะลงต่ำกว่า 1 องศา เพราะตื่นเช้ามา รีบขึ้นไปดูเทอโมมิเตอร์ ชี้ไปที่ 1 องศา ซึ่งเทอโมมิเตอร์ที่นี่ดูง่ายมาก เพราะ อุณภูมิร้อนสุดที่ เครื่องนี้จะแสดงผลได้คือ 4 องศา และเย็นสุด -4 องศา ค่ะ
โย่โย่ และบูบู้ ที่ 1 องศาค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny40)
เช้านี้ ตื่นแล้ว ทำอาหารกินกัน แล้วก็ เดินทางไปชม การเกษตรหลวงที่ศูนย์ เกษตรอ่างขาง เพื่อไปชม พันธ์พืชแปลก ๆ ค่ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny37)
ซากุระ (จริง ๆ ) เป็นอย่างนี้
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny38)
หรือจะเป็นพญาเสือโคร่งหว่า หุ ๆ ดูออกยาก เห็นที่โคนเค้าแปะไว้ว่า ซากุระ
ชมสวนกันเสร็จแล้ว เป็นที่น่าเสียดาย เพราะฤดูนี้เป็นฤดูไม้ผลัดใบ สวนที่เห็นก็จะมีแต่กิ่ง เพรียว ๆ ไม่สวยงามเอาซะเลย ได้เห็นต้นบ้วย ต้น ซากุระ (ซึ่งบานแข่งกับ พยาเสือโคร่งบ้านเรา) ต้นถัวแม็กคาเดเมี่ย และ สวนสตรอเบอรรี่ที่ยังไม่มี ลูก
ก็เลยถาม เจ้าหน้าที่ว่าอยากไปดูสวนสตรอเบอร์รี่นี่ต้องไปดูที่ใหน เจ้าหน้าที่บอกให้ไปที่ ดอยมูเซอ จะเจอเพียบเรย ก็เลยออกเดินทางไปกันซึ่งไกลประมาณ 3 กม.
ถึงแล้ว ดอยมูเซอร์ หมู่บ้านเจริญทีเดียวค่ะ มีหมูเลี้ยงแทบทุกบ้าน แต่เป็นหมูป่านะค้ะ
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny39)
แล้วก็ ได้เห็นสวนสตรอเบอร์รี่สมใจคะ แต่...ไม่ได้ซื้อกลับเพราะยังไม่สุกเลย แบบเพิ่งออกได้ ไม่นาน เสียดายมาก เพราะเดือนที่แล้วเค้าบอกว่ามีฝน ลูกก็เลยไม่ออก หรือออกน้อยมาก ก็จะมีแม่ค้ามาซื้อไปหมดแล้ว
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny42)
และ น.นกของน้องติ๊ก อีกสองตัวก็ ชมสวนอย่าง ว่าง่าย ไม่บินออกไปใหนอีก
(http://bt-wifi1.blogsyte.com/pic/nn/ny41)
แต่ขาลง ก็ได้พบกับ สตรอเบอร์รี่ ค่ะ ขาลงจากอ่างขางขายคู่กับ ส้ม ไม่แว๊กซ์เปลือกและ องุ่นทำไวน์ เปรี้ยวหวานเข้มมาก อร่อยค่ะ
อ้อ ขอโฆษณานะค้ะ เผือใครยังไม่รู้ สตรอเบอรรี่ที่อ่างขางนี่ จะเป็นสตรอเบอร์รี่ที่อร่อยที่สุด จะในโลกหรือเปล่าไม่รู้ แต่ เป็นเพราะ ชื่อพันธ์ คือ พันธ์พระราชทาน 06 หรือ จำโค้ดรุ่นมาผิดเนี้ยแหละ เอาเป็นว่า เป็นพันธ์ พระราชทาน ที่นักวิจัยได้คิดค้น ผลิดผสม คัดแยกสายพันท์ เหมือนข้าวสารของเราให้รสออกมาหวานฉ่ำ เปรี้ยวเรื่อ ๆ ที่สำคัญ สีแดงสดถึงใส้ในเลยค่ะ ลูกใหญ่ ไม่เป้นลูกแฝดอย่างที่ซื้อกินกันในกรุงเทพ คนอื่นที่โดยสารมาด้วยไม่เชื่อ ก็เลยลงมาซื้อตรงแถว ๆ ขากลับ จาก เชียงใหม่ อีก คนละสามสี่โล (น้องติ๊กซื้อ บนอ่างขางมา สิบโล) กินเปรียบกันดู........
โอววว ของอ่างขางอร่อยกว่าจริง ๆ ค่ะ หวานทุกลูก เนื้อแดงเงาจนถึงข้างใน ลูกเป่ง อ้วนกว่ามาก
ส่วน ที่ซื้อข้างทางนั้น ถ้าลูกใหญ่ ก็จะกลายเป็น ลูกแฝด หรือมากกว่า ขายราคาพอ ๆ กัน แต่รส ไม่หวาน ส่วนใหญ่ เปรี้ยวโดดเพียงอย่างเดียว ต้องจิ้มพริกเกลือถึงจะพออร่อย แต่ ที่ของอ่างขาง กินแบบไม่ต้องจิ้มกันเลยทีเดียวค่ะ
เอาหละ เฉาก้วยขาวเล่าเรื่องก็ขอจบลงเพียงเท่านี้จ้า....เดินทาง ถึงกรุงเทพโดยสวัสดิภาพ
อีกอาทิตย์ถัดมา ไปแพต่อ ที่แพนี่จะมีการสอนเจ้าโย่ และบู้ บินด้วย ติดตามกันด้วยนะค้า บ้ายบาย