นั่งคิด นอนคิด มาหลาย ๆๆๆ วัน ว่าจะเล่าดี ไม่เล่าดี
ลงความเห็นว่า ขอเราแชร์ เป็นประสบการณ์ ละกันน๊ะครับ อาจจะเป็นเพราะการดูแลไม่ดี หรือความสับเพล่า หรือความซวย ก็ไม่สามารถบอกได้ :cry: :-?
ใคร ๆ มักบอกกันว่า การป้อนอาหารด้วยวิธีการ Manual คือใช้ช้อนบีบ หรือ ไซริ้ง ( แบบไม่มีไส้ไก่ ) ป้อน เป็นเทคนิคที่ง่ายสำหรับนำมาใช้ป้อนนกกัน สะดวก ปลอดภัย 100 %
ปล. เดี๋ยวหาถ่ายรูปอุปกรณ์ประกอบ
ถ้าสำหรับนกขนาดเล็ก จำพวก Sun / ริงเน็ท / กรีนชีค / แขกเต้า / แก้วโม่ง / ฮั้นท์ และอื่น ๆ
การป้อนด้วยไซริ้งค์ แบบไม่มีสาย หรือช้อนป้อน ถือว่าไม่น่ามีปัญหาครับ
การป้อนด้วยไซริ้งค์ จะดีตรงสามารถรู้ปริมาณในการป้อนในแต่ละมื้อ อาหาร อุณหภูมิตอนชงอาหารไม่ลดลงพรวดพราด จนเย็นตัว ในขณะป้อน ถนัดและรวดเร็วในการป้อน
การป้อนด้วยช้อนบีบ ดีตรงที่ขนาดของช้อนที่ใช้จะเสมือนเป็นการเรียนรูปแบบของปากพ่อแม่นก ปริมาณในการป้อนไม่สามารถกะได้ ต้องกะจากการดูกระเพาะพักของนก และอุณหภูมิของอาหารจะลดลงอย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจจะต้องใช้ถ้วยที่ชงอาหารแช่ไว้ในถ้วยน้ำร้อน เพื่อให้คงอุณภูมิที่ต้องการ และอาจจะไม่ถนัดช้า เลอะเทอะ
โดยบางครั้งบทความบาง WEB บอกว่า เป็นวิธีการป้อนที่ปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าเทียบข้อดี และข้อเสีย แล้ว วิธีการดังกล่าว ก็อาจจะมีข้อดี และข้อเสีย ที่เสมอ กัน แต่ถ้านำวิธีการป้อนดังกล่าวมาใช้กับนกที่มีขนาดกลาง ถึงใหญ่ เทคนิคดังกล่าว ( ดังจะเล่าให้ฟังในต่อไป นั้น ) ไม่สามารถที่จะใช้ได้ดี แม้บางครั้ง เราคิดว่าเราปราณีตที่สุดในการดูแล และนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดแล้ว
แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรอยู่ดีละครับ :cry:
บางเวป ที่ว่า เข้าไปอ่านแล้วเซ็ง
คำขู่สารพัด
สำหรับคนรักนกเบื่อครับ
เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง :-P
จะเรียกว่าความซวยหรือความสับเพล่า คงไม่ใช่หรอกครับ เรียกว่าอุบัติเหตุดีกว่าครับ เพราะผู้เลี้ยงนกส่วนใหญ่ ย่อมมีความรู้ในการป้อนลูกนกเป็นอย่างดีแล้ว อุปกรณ์ในการป้อนลูกนกทุกชนิด ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าเราใช้อุปกรณ์นั้นๆ ด้วยความรู้จริงๆ รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ก็ย่อมป้องกันได้และผมว่า ทุกคนป้อนลูกนกคงไม่เกิดการศูนย์เสียครับ
ผมว่าลูกนกก็เป็นปัจจัยนึงนะครับ
ถึงได้มีหลายๆครั้งที่ใส้ไก่หลุดลงกระเพาะไป
จริงครับ การป้อนกับไซริง มีข้อเด่นตรงที่เราสามารถกำหนดปริมาณอาหรในแต่ละครั้งได้อย่างแม่นยำ และอีกข้อคือ ไซริงหย่าย ป้อนได้ครั้งละหลายตัว
ถ้าเป็นนกใหญ่ ผมมักจะใช้สายออกซิเจนปลาอย่างนิ่ม(เน้นอย่างนิ่มนะครับ) วัดให้เท่าจากปากถึงก้น แล้วตัดให้เลยมาอีก 3-4นิ้ว ส่วนที่ต้องแหย่เข้าไปในปากนกก็ให้เอาตะไบเล็บขัดให้มน พอป้อนมันก็จะเหลือยาวออกมาจากปากนกพอควรเลยครับ
นกเล็กก็ใช้ใส้ไก่หรือสายน้ำเกลือเอา
นี่อาจจะเป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้องตามความเห็นของคุณพี่หลายคน(ผมเดาเอานะ) แต่ว่าผมถนัดแบบนี้อ่ะ
โดย นายโด้ เมื่อ 2008/2/18 6:29:35
โดยบางครั้งบทความบาง WEB บอกว่า เป็นวิธีการป้อนที่ปลอดภัยที่สุด แต่ถ้าเทียบข้อดี และข้อเสีย แล้ว วิธีการดังกล่าว ก็อาจจะมีข้อดี และข้อเสีย ที่เสมอ กัน แต่ถ้านำวิธีการป้อนดังกล่าวมาใช้กับนกที่มีขนาดกลาง ถึงใหญ่ เทคนิคดังกล่าว ( ดังจะเล่าให้ฟังในต่อไป นั้น ) ไม่สามารถที่จะใช้ได้ดี แม้บางครั้ง เราคิดว่าเราปราณีตที่สุดในการดูแล และนำมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดแล้ว
แต่ก็ยังไม่ดีเท่าที่ควรอยู่ดีละครับ :cry:
โดย sira เมื่อ 2008/2/18 7:41:02
บางเวป ที่ว่า เข้าไปอ่านแล้วเซ็ง
คำขู่สารพัด
สำหรับคนรักนกเบื่อครับ
เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง
บางครั้งบางเวบคนเขียนอาจจะเล่ามาจากประสบการณ์ที่แย่ของเขาเอง อาจจะป้อนแค่ไม่กี่ตัวแล้วไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คาดหวังก็ได้ครับ
โดย put เมื่อ 2008/2/18 8:52:48
จะเรียกว่าความซวยหรือความสับเพล่า คงไม่ใช่หรอกครับ เรียกว่าอุบัติเหตุดีกว่าครับ เพราะผู้เลี้ยงนกส่วนใหญ่ ย่อมมีความรู้ในการป้อนลูกนกเป็นอย่างดีแล้ว อุปกรณ์ในการป้อนลูกนกทุกชนิด ย่อมมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ถ้าเราใช้อุปกรณ์นั้นๆ ด้วยความรู้จริงๆ รู้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า ก็ย่อมป้องกันได้และผมว่า ทุกคนป้อนลูกนกคงไม่เกิดการศูนย์เสียครับ
ช่ายๆ อุบัติเหตุอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทั้งที่เราได้ป้องกันไว้แล้ว แต่เราต้องตั้งสติเพื่อสิ่งเดียวครับ คือเพื่อลูกนกน้อยของเราเอง
ผมว่านะครับ มันเกิดจากหลายๆปัจจัย กรณีใส้ไก่หลุดเข้ากระเพาะ อาจจะมาจากเราเอง ที่ต่อใส้ไก่ไม่แน่น หรือใส้ไก่ยืด เสื่อมสภาพ หรือแม้แต่ใส้ไก่คุณภาพต่ำ บีบไซริงค์เเรงไปจนดันใส้ไก่หลุดออกไปด้วย หรืออาหารข้นไป ยังคนไม่เข้ากันดีจนอุดตันที่ไส้ไก่ พอออกเเรงบีบอีก ก็หลุดเลยไส้ไก่ลงคอนกไป หรืออาจจะเป็นที่ตัวนกที่มีการกัดเเละพยายามขยอกเอาใส้ไก่ลงไปด้วย ปัญหานี้จะพบในกรณีที่ใส้ไก่สั้นเกินไป พอหลุดเข้าปากนกทำให้เราดึงกลับมาไม่ทัน
แต่โดยส่วนตัวผมไปซื้อไซริงค์กับใส้ไก่(ไม่รู้จะเรียกใส้ไก่หรือเปล่า)ที่ร้านเวชภัณท์ครับ
ตัวไซริงค์จะมีปลายขนาดใหญ่และสามารถสวมเข้ากับหลอดคาเทเตอร์ (คล้ายๆไส้ไก่ครับ) ท่อนี้จะยาวมากหน่อย จริงๆแล้วท่อนี้ทางการแพทย์ผลิตมาเพื่อดูดของเหลวที่คั่งอยู่ตามจุดต่างๆของร่างกายออกทิ้ง แต่ก็สามารถเอามาป้อนกับนกได้อย่างไม่มีปัญหา ทนความร้อนได้ดี อ่อนนุ่มไม่ค่อยระคายเคืองนัก
นานาปัญหากับการป้อนครับ บางครั้งใช้ช้อนค่อยๆป้อน นกยังมีอาการคล้ายๆสำลักเลยทั้งๆที่คิดว่าป้อนปราณีตสุดๆแล้ว พอใช้ไซริงค์ไม่ต่อใส้ไก่ ก็มีปัญหาลงหลอดลมนิดๆตามมาอีก(สำหรับลูกนกเล็กมากๆ) พอต่อใส้ไก่ ก็มีปัญหาหลุดลงกระเพาะ หรือที่เลวร้ายก็คือการสอดไส้ไก่ผิดจุด กลายเป็นสอดลงหลอดลม เท่ากับว่าเราได้ฉีดอาหารลงหลอดลมไป ทำให้นกเสียชิวิตในเวลาอันรวดเร็ว(ชนิดคามือก็ว่าได้)
ผมมองว่า มือใหม่บางคนที่ยังไม่เคยป้อนนกมาก่อน และ/หรือ ยังไม่เคยเข้ามาในเวปสยามฟินิกซ์นี้ พอป้อนครั้งเเรกๆ มักจะเจอปัญหาเหล่านี้ เลยโพสไว้ตามเวปต่างๆ เลยกลายเป็นที่มาว่า การป้อนนกเนี่ยป้อนยาก แต่หากเขาเหล่านั้นได้เข้ามาสัมผัสที่เวปนี้ และตั้งกระทู้ถาม ก็จะได้ข้อมูลที่ค่อนข้างแจ่มชัดกลับไป เพื่อเป็นเเนวทางในการจัดการ
อนึ่ง ตัวผมเองมิได้พาดพิงไปถึงเวปอื่นใดไม่ แต่เท่าที่เห็น เมื่อมีการโพสถามปัญหาต่างๆเกี่ยวกับนกตามเวปต่างๆ ที่ไม่ใช่เวปนกโดยเฉพาะ มักจะไม่มีผู้ที่มาให้คำตอบ หรือวิธีการแก้ไขที่กระจ่างนัก ส่วนมากจะเป็นคำตอบแบบผ่านๆ ซึ่งมักจะได้ข้อมูลน้อยมาก ไม่ส่ามารถที่จะเเก้ปัญหาได้ทั้งหมด
เนื่องจากการเลี้ยงนก หรือการป้อนลูกนกกล่าวได้ว่ามิใช่ของง่ายที่ใครๆทำครั้งเเรกโดยที่ไม่มีคำแนะนำแล้วจะไม่เกิดปัญหา
พี่ๆท่านใดมีเเนวทางเฉพาะ หรือเเบบฉบับส่วนตัว ก็ลองแชร์ประสพการณ์กันครับ เพื่อว่า ผู้ที่สนใจจะเริ่มเลี้ยงนกจากลูกป้อน ที่ยังไม่ได้สมัครสมาชิก ได้เเวะเวียนเข้ามาอ่าน จะได้ความรู้ไม่มากก็น้อย เพื่อไปใช้ได้ครับ
ความจริงที่ผมมากล่าวในนี้ ใช่ว่าผมจะเป็นผู้ชำนาญการณ์ เพียงแต่ว่าประสบการส่วนนึงของผม ได้จากการเลี้ยงนกเองน๊ะครับ ( นกที่บ้าน ) นกจากพี่ ๆ ฝากเลี้ยง และมีบ้างที่ซื้อเข้ามาเลี้ยงน๊ะครับ
แล้วผมจะเล่าให้ฟัง ว่าการป้อนด้วยช้อน ไซริ้ง แล้ว มันเกิดเหตุการณ์ ขนาดไหน
ขนาดรวดเร็ว ทันตา แต่ไม่ถึงตาย ( ปรึกษาท่านทวด ทพ. ชาย ตัน ) เสียเครียดเลยครับ หุ หุ
ปล. เป็นแชร์ความรู้ครับ ไม่ใช่จงใจจะไปกัดใครครับ อย่าคิดเป็นอื่น กับการเล่าเรื่องที่ถึงพริก ถึงขิง หุ หุ [/b]
ครั้งแรก กับประสบการณ์การป้อน ลูกนกปากขอ
คงต้องย้อนหลังกลับไปเมื่อครั้งอดีต เมื่อสัก 10 กว่าปี ที่ผ่านมา กับการเลี้ยงนกในครั้งแรก ...... ( นกปากขอ ) แต่เดิมก็เลี้ยงบ้างแต่แบบไม่จริงจังสักเท่าใด :lol:
ตอนนั้นเรียกได้ว่า ประสบการณ์ในการเลี้ยงนกปากขอ แทบจะไม่มีเลยครับ นกแก้วไทย ในขณะนั้น เป็นคู่แรกที่ซื้อตอนไปเดินซื้อของที่ตลาดพระประแดง เห็นน่ารักดี ใส่ตระกร้าขาย ใจตอนนั้นคิดว่า จะเลี้ยงได้ไหม จะหาข้อมูลจากที่ไหน เรียกได้ว่า ตอนนั้น เอาไงเอากันว๊ะ ลองเลี้ยงดู จะหมู่ จะจ่า เดี๋ยว ก็รู้กันครับ :-o :evil:
ตอนนั้น ไม่รู้จะหาความรู้มาอ่านประกอบ จากที่ไหน ลังแต่ฟังจากคนขายว่า อาหารที่ใช้ป้อนคือ " ซีรีแล็ค "
วิธีการป้อน ก็ผสมให้ข้นแล้วใช้ไซริ้งดูดขึ้นมา แล้ว ป้อน
เราก็ลองทำลองป้อน ดู นกก็ยอมกินดี คงเป็นเพราะนกหิวมั้งครับ ก็คิดในใจว่า ดีแล้ว ป้อนถูกแล้ว ...... นกร่าเริงแจ่มใส ..... :-D
ในใจตอนนั้นคิดว่า โอ๊ย .... เราเก่ง เราเลี้ยงได้สบาย ..... นกเริ่มโต สุขภาพแข็งแรงร่าเริง แต่พอมาหลัง ๆๆๆ กลับมองว่า เอ !!!! นกทำไมไม่ค่อยกิน ..... พยายามที่จะป้อน แต่นกไม่ยอมที่จะกิน นกเริ่มดูเหงาหงอย ...... ถ่ายมีสีดำ ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
จึงพาไปพบหมอที่คลีนิคสัตว์แพทย์ตรงราชบูรณะ หมอบอกว่า มีการติดเชื้อทางกระเพาะอาหาร .... ถ่ายมีกลิ่นไม่ดี .... หมอก็ให้ยามา ... เลี้ยงได้อยู่อีก 2 - 3 วัน ก็เริ่มตายทีละตัว :-o :-D
เป็นอันว่า ครั้งแรกกับการเริ่มเลี้ยงนกปากขอ มีอันต้องยุบโครงการลงไป :cry: :cry:
ครั้งต่อมา ..... คราวนี้ก็ประสบการณ์ คงคล้ายเช่นเดิม ยังเป็นนกบ้านเรา เมืองเราอยู่น๊ะขอรับกระผม :-D
เดินเล่นเพลิน ๆๆๆๆ สายตาเหลือบไปเห็นลูกนกปากแดง ๆๆๆ อยู่ในตู้กระจก ที่บริเวณพื้นตู้รองด้วย ขี้เลื่อย + หนังสือพิมพ์ฉีก ๆๆๆ
แต่ประสบการณ์อันเก่าก่อน ก็แว๊บเข้ามาในความคิดส่วนนึงว่า ถ้าเอามาเลี้ยงแล้ว จะเป็นเช่นใด ...... จะรอดไปได้ถึงโตไหม ... ( ขณะนั้น อย่าพูดถึงมองไปยาวถึงการเพาะพันธุ์เลยครับ )
:-(
คนขายพูดกรอกหูอยู่ข้าง ๆๆๆๆ ว่า พูดได้ พูดเก่ง กินอาหารเก่ง กินง่าย ( แต่ใจความโดยรวม เน้นเรื่องพูดเก่ง สุขภาพแข็งแรงครับกระผม ) :-)
ซึ่งถือว่าตอนนั้นในใจส่วนลึก ๆๆ ก็ยังอยากที่จะเริ่มเลี้ยงใหม่อีกสักตัวน๊ะครับ ......
เป็นอันว่า ตกลงครับ :-o :lol:
โดยก่อนนำมาเลี้ยงได้สอบถามกับผู้ขายแล้วว่าให้กินอะไร ..... คราวนี้ จากที่ครั้งแรกกับผู้ขายคนก่อน บอกว่าให้ป้อน " ซีลีแร็ค " ก็กลับกลายเป็น อาหารสีออกน้ำตาลอ่อน ๆ ขนาดถุง 2 - 3 ขีด ถุงละ 100 บาท โดยหน้าถุง มีรูปลูกนก มีตัวภาษาจีนระบุรายละเอียด และสรรพคุณ บริเวณหน้าถุง
และอุปกรณ์การป้อน ซื้อไซริ้ง + ไส้ไก่
วิธีการที่คนขายแนะนำคือ ใช้อาหารของเมืองจีน ผสมในน้ำร้อน คนให้เข้ากัน แล้วป้อนโดยใช้ไซริ้งสอดเข้าไปในปากป้อน ....... :-x :-?
พอเริ่มโตแล้ว ให้ยัดป้อนปากโดยการ บิกล้วยเป็นคำ ๆ ป้อนยัดทางปาก ครับ ( ซึ่งดูตอนนั้น ง่ายเน๊อาะ ) นกอะไรกินแต่กล้วยน้ำว้า หุ หุ
โดยในขณะนั้น คิดเพียงแต่ว่า โอ๊ย !!!! คงไม่ยากเย็นหรอก .... โดยพ่อค้าลองผสมอาหารและป้อนให้ดู ว่าจะทำอย่างไร โดยจับนกแหกปาก สอดไส้ไก่เข้าไปในปาก แล้วก็บีบ พรวด ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หมดหลอด เป็นอันเสร็จ .................
กลับมาบ้าน ปล่อยลูกนกไว้ในตระกร้า ที่รองบริเวณก้นตระกร้าด้วยหนังสือพิมพ์ฉีก ๆๆ ฝอย ๆ
ลองชงอาหารดูครับ อาหารลูกป้อน ( เมืองจีน ) ที่มาตอนหลังมักเรียกว่า อาหาร " TT "
:lol:
ผสมในน้ำร้อน ลองคนดู .... เย้ย !!!! ยิ่งคน ก็ยิ่งไม่เข้ากัน ตอนคนก็เข้ากันดูดี พอปล่อยไว้สักพัก .... เนื้อ กาก น้ำ ไหงแยกกัน เป็นชั้น ๆ เลยขอรับกระผม หุ หุ ..... หรือเราชงผิดหว่า ไหงอาหารไม่เห็นน่าจะเข้ากันได้ เนียน ..... :lol:
ลองดูครับ เป็นไงเป็นกัน ...... พออาหารอุ่นแล้วก็ป้อนครับ
ณ ขณะนั้น คิดในใจเพียงว่า โอ๊ย !!!! เทคนิคต่าง ๆ ไม่เห็นยุ่งยากเลย แค่ป้อน วันนึง 3 - 4 ครั้ง[/b]
อ้างถึง Post ของคุณ Sira จริง ๆ แล้วเค้าคงไม่ได้ขู่หรอกคะ ถ้ามองด้วยใจเป็นธรรม Web ที่คุณพูดถึงก็เปรียบได้กับกฎหมายที่คอยปราบ หรือให้คนยับยั้งชั่งใจในการจะอุปการะ ชีวิตสักหนึ่งชีวิต ที่พวกเค้ามองว่ามันเป็นชีวิตที่มีคุณค่าเหมือนกัน มีความเท่าเทียมกัน มีสิทธิที่จะใช้ชีวิตได้อย่างเสรีเหมือนกันนะคะ
หุ หุ ผมพูดถึง WEB ไหนหว่า 5555
แล้ว คุณ sira และคุณ panpan พูดถึง WEB ไหนหว่า ......
อะ อะ ไม่มีอะไรหรอกครับ คือที่กล่าวไป ก็เพราะการให้ข้อมูลข่าวสาร มันก็ยังเป็นเพียงข้อมูลข่าวสารครับ ผมเลี้ยงเพียงน้อยนิด แต่กลับมีปัญหานานับประการ มาให้ปวดใจ คิดแล้ว คิดอีก ถึงเอามาเล่าให้ฟังกัน ................
พ่อค้า แม่ขาย เจ้าของฟาร์ม และผู้ที่เลี้ยงเยอะกว่าผม ทำไมไม่เกิดปัญหาแบบผมเกิดละครับ ...... จึงเป็นที่มา ของการนำประสบการณ์เพียงน้อยนิดของตัวเอง มาเล่าให้ฟัง เหมือนเป็นการเล่านิทานครับ .... แต่บางครั้ง ข้อมูลของผม อาจจะตรงใจใครหลาย ๆ คนเหมือนกัน หรือไปทิ่มแทงใครหลาย ๆ คนเหมือนกันครับกระผม
แค่ยึดมาช่างใจ ก่อนปฏิบัติ น๊ะครับ ว่ามันอาจจะเป็น แบบนั้น แบบโน้น แบบนี้ ตามที่กระผมจะกล่าวไปเรื่อย ๆ ได้น๊ะครับกระผม อาจจะเพียงเล็กน้อย หรือน้อยนิดครับ
ผมก็เลี้ยงจนนกตัวนั้น โตขึ้นมา สามารถเกาะคอนได้ครับ ...... จะเพาะสูตรอาหารที่ใช้ป้อน ( สูตรอาหารประเทศจีน TT ) หรือเพราะจำใจต้องโต ก็ไม่รู้ได้ หุ หุ .......
แล้วก็เลี้ยงมาอีกสักระยะ ตอนนั้น คิดในใจน๊ะครับ นกแก้ว ต้องเกาะคอน .... เอาออกไปเดินเล่น เกาะบ่า คงต้องหาห่วงโซ่ มาใส่ให้เขาดีกว่า รวมถึง จับขลิบขนปีก ก็เลยไปเดินจตุจักร ซื้อโซ่ผูกข้อเท้า
รวมถึงหาคอนมาให้เขาเกาะ ..... โดยใส่โซ่ข้อเท้าให้เขา เวลาพาไปไหนมาไหน ก็มีโซ่ข้อเท้า ติดไปเสมอ กันเขาหลุด ซึ่งเขาเองเราก็ขลิบขนปีกเขาเอาไว้แล้วน๊ะ ........
ตอนอยู่บ้าน ก็ปล่อยให้เขาเกาะอยู่บนคอน โดยมีโซ่คล้องอยู่บริเวณข้อเท้า ...............
และแล้ว เหตุการณ์ก็เกิดขึ้น .................
รออ่านอ่านต่อครับ
จริง ๆ แล้วคุณโด้ มีประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเลี้ยงนก น่าจะเปิดอบรมสำหรับมือใหม่ที่คิดอยากจะเลี้ยงนกนะคะ ใครอยากเข้าฟังและเห็นวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องก็สมัครเข้ามา แล้วคุณโด้ก็เป็นวิทยากรบรรยายให้ฟังแล้วก็สาธิตให้ดูด้วยก็น่าจะดีนะคะ พวกมือใหม่จะได้ไม่ทำลูกนกตายอีก บาปกรรม
พลีชีพ อีก มั๊ยเนี่ย :-D :-D
อ้างถึงpanpan เป็นผู้เขียน:
จริง ๆ แล้วคุณโด้ มีประสบการณ์ที่ผ่านมาในการเลี้ยงนก น่าจะเปิดอบรมสำหรับมือใหม่ที่คิดอยากจะเลี้ยงนกนะคะ ใครอยากเข้าฟังและเห็นวิธีการเลี้ยงที่ถูกต้องก็สมัครเข้ามา แล้วคุณโด้ก็เป็นวิทยากรบรรยายให้ฟังแล้วก็สาธิตให้ดูด้วยก็น่าจะดีนะคะ พวกมือใหม่จะได้ไม่ทำลูกนกตายอีก บาปกรรม
อะเจ๊ยยยยย ...... :-o :-D
ประสบการณ์ ผมเป็นดังการสะท้อนออกจากผู้เลี้ยงจริงคนนึงครับ เพราะผมเอง อย่างที่กล่าวไปแล้ว ออกตัวไว้สม่ำเสมอ ว่า เป็นเพียงผู้เลี้ยงและปฏิบัติจริงครับ
1. ผมไม่ใช่มือปืน ที่รับเลี้ยงแล้วส่งขาย
2. ผมเป็นมือปืน ยามเมื่อผมต้องเลี้ยงลูกนกอยู่แล้ว ( ก็รับของพี่ ๆ เพื่อน ๆ น้อง ๆ ) มาช่วยดูแลยามพี่ ๆ น้อง ๆ ไม่ว่าง
3. และอื่น ๆ
ประสบการณ์ของผม ดังจะกล่าวไปเรื่อย ๆ นั้น อย่างที่บอกสม่ำเสมอ และก็ไม่อยากให้เกิดกับผู้อื่น ผมถึงกล่าวว่า เพราะว่าฟ้ากลั่นแกล้ง หรือเพราะความซวย หรือเพราะเหตุอันใด ทำไม ไม่ไปเกิดที่ใคร ๆๆๆ แต่ดันมาเกิดที่ฉัน .......... หุ หุ :-o :-D
หลาย ๆ ครั้งที่ผมแนะนำหรือเสริมเติมแต่ง ก็เป็นเรื่องที่ผมโดนมากับตัวเองครับ ใคร ๆ เขาไม่โดน แต่ ตู ดันโดน 555++++
แชร์ประสบการณ์กันดีครับ แต่ผมก็เชิงเล่านิทาน อาจจะดูเหมือนคนแก่ .... หรือวาเราแก่แล้วหว่า ไปเดินจตุจักร / Sunday ได้ แค่ 20 - 30 นาที พกยาดม 3 หลอด หุ หุ มือไม้สั่น หน้ามืดเวียนหัว .....
สุดท้ายไม่สบาย เป็นลำไส้อักเสบซะ 2 สัปดาห์ หุ หุ
อ้างถึงartz เป็นผู้เขียน:
พลีชีพ อีก มั๊ยเนี่ย :-D :-D
อาจจะมีเสียดแทง สอดแทรก เสียบแบบทู่ ๆๆๆ ตามภาษาคำแก่อย่างผม ..... อย่าคิดว่าบ่นเลยน๊ะขอรับกระผม หุ หุ อาจจะมีโดน ... ( พลีชีพ อะปล่าหว่า ) :lol:
การป้อนนกนี่แหละครับ
ที่ทำให้ครอบครัวผมมีความรัก ดูแล เอาใจใส่กันมากขึ้น
มีเวลาให้กัน รู้จักแบ่งปัน เอื้ออาทรกัน มากขึ้น
ยังนึกขอบใจฟาร์มนกแห่งหนึ่ง ที่ได้ให้ลูกนก น่ารัก
มาเป็นผู้ช่วยสร้างความรักในครอบครัว
ส่วนเรื่องการป้อนอาหารนั้น
ลองมาหมดครับ อ่านอะไรมาก็เชื่อเค้าหมด
เข้าท่าบ้าง ไม่เข้าท่า บ้าง
อยากบอกว่ากับนก กลาง ถึงใหญ่
การป้อนจากช้อนไม่เข้าท่า และไม่เหมาะสม เลยครับ
ผมไม่ทราบว่าบางเวปที่ว่านั้นป้อนนกเป็นหรือเปล่า
นกเล็กหรือใหญ่กี่ตัวบ้าง
ผมมั่นใจวิธีที่ทางฟาร์มสอนมา และไม่เคยพลาด
โดยเฉพาะ ไซริง เราสามารถคำนวนอาหารได้ถูกต้อง
อุณหภูมิของอาหารก็พอเหมาะ
ที่สำคัญไม่เปรอะเปื้อน ทำให้เราต้องไปทำความสะอาด
ลูกนกภายหลัง ลองนึกดูครับ ป้อนนกใหญ่มันเลอะเทอะขนาดไหน
นั้นเป็นเพราะประสบการณ์ ที่ฟาร์มเค้ามีมาเยอะกว่าพวกเราครับ :-D
ส่วนเรื่องเดินสวน ผมไม่ค่อยจะชอบไปเลยครบ
เดินแล้วเวียนหัว
แถมเชื้อโรคกลับบ้านอีกไม่รู้เท่าไหร่
จะเลี่ยงเสมอตรงสัตว์เลี้ยง
กลับมาถึงบ้านในวันนึง ...... จากนกที่เวลาเกาะคอนจะยื่นเฉย เดินไปเดินมา บ้างเป็นบางครั้ง จะแทบไม่กระพือปีกบินเลย เพราะมีประสบการณ์ :-D
จากผู้เพาะพันธุ์ จากคนขาย และจากคนอื่น ๆ บอกมา และนำมาปฏิบัติ
ถ้าไม่อยากให้นกบินหนี หลุดไป ให้ขลิบปีก ( ขลิบขนปีก ขนบินกับนก )
1. ขลิบขนบิน จากปลายสุดเข้ามา 5 - 7 เส้น ( 1 ข้าง )
เพื่อให้นกบินไม่สะดวก คือไม่บาล้านกัน ทั้ง 2 ข้าง ( คือบินเอียง ๆ ว่างงั้น )
2. ขลิบขนปีก จากปลายสุดเข้ามา 5 - 7 เส้น ( 2 ข้าง )
เพื่อให้นกบินไม่สะดวก คือบินไม่ได้เลย เพราะขนปีก 2 ข้างไม่มี ( แต่เมื่อนกปรับสภาพ ความสมดุลได้แล้ว ก็สามารถถลาไปได้ เตี้ย ๆ ) และไปได้ในระยะยังไกลอยู่
3. ขลิบขนปีก เผื่อสวยบ้าง คือ ขลิบสลับ เส้นที่ 1 เว้น เส้นที่ 2 ขลิบเส้นที่ 3 เว้นเส้นที่ 4 ไปจนครบ เพื่อความสวยงาม เวลาปีกแนบลำตัว
สุดท้ายแล้ว ผมก็เห็นว่า การขลิบขนปีก ไม่ได้เป็นการป้องกัน ให้นกไม่หลุดไปไหน
1. เมื่อนกปรับสภาพได้แล้ว ( บาล้าน ) ก็สามารถบินร่อนถลาได้
2. ต้องระวังวัตถุอันตรายจำพวกสัตว์สี่ขา แมว สุนัข เพราะนกไม่สามารถบินหนีได้
3. นกบินต่ำ ก็ต้องระวังเรื่องรถ จักรยานยนต์ จักรยาน และอื่น ๆ
4. อื่น ๆๆๆ อีกเยอะครับ
เอาเหรียญกล้าหาญมั้ยพี่โด้
และเสื้อเกราะกันกระสุนด้วยครับ 555
พลีชีพ อีกแล้ว ยังมีขายนะครับ เสื้อกันกระสุน :-D :-D
ต่อครับ ...... หลังจากมีการเสนอขายเสื้อเกราะ อุปกรณ์การช๊อตไฟฟ้า เมื่อคราวโดนอุ้ม .... ยาแก้พิษ เมื่อโดนวางยา ( เย้ย ... ดูหนังจีนมากไป :-D :lol: ) และเป็น บอดี้การ์ด เวลาออกไปไหน ( เอากับเขาสิเรา หุ หุ จะมีปัญญาจ้างไหมเนี่ย ) :lol: :-o
ผมก็ขลิบขนปีก เหมือนกับที่พ่อค้า แม่ขายแนะนำมาน๊ะครับ คือขลิบขนบิน ตั้งแต่เส้นแรกเข้ามาด้านใน 5 - 6 เส้น ทั้งสองข้าง ทำให้นกตัวนี้ ไม่สามารถบินได้ แต่ถลาได้ครับ คือถลาลงจากคอนสูงประมาณ 1.2 เมตร หัวทิ่ม หัวตำ .... ไปกับพื้น ครับกระผม .... :-o :-D ( นี่คือในห้องนอนน๊ะเนี่ย )
พอเอาออกไปเดินเล่นข้างนอก ให้เกาะบ่า เกาะแขน เผลอ ไม่สนใจ เขาคงอยากบินดู หรือเพราะมองว่าในห้อง แคบไป ในสนามละกัน คงกระพือบินไปได้ไกล ..... ตั้งท่า อยู่นานสองนาน แล้ว ก็กระพือ ... พับ 1 / พับ 2 / พับ 3 ดิ่งหัวลงกับพื้นสนาม ซะงั้น ......
จากวันนั้น เขาก็ไม่เคยคิดจะกระพือปีกอีกเลยครับ เพราะเกรงว่า คราวนี้ ไม่ใช่พื้นสนามแล้ว แต่เป็นพื้นปูน คงมีเจ็บ ไม่มากก็น้อย ถ้าหนัก ๆ ก็มีหัก ไม่ว่าจะเป็น ปีก / ขา / คอ ..... ถ้าร่วงในสนามก็อาจจะเดี๋ยง เพราะสุนัข และแมว เฮออ........... ( อันนี้ คนเลี้ยงต้องระวัง )
:-D
แต่เวลาผมไม่อยู่บ้าน ออกไปข้างนอก ก็มักจะเอาเขาใส่ห่วงขา ( โซ่ ) ให้เกาะอยู่บนคอน ในห้องครับ เขาก็จะเดินไป เดินมา อยู่แบบนั้น ..... มีบางครั้ง เหมือนเขามองคอน + โซ่ เป็นอุปกรณ์ระทึกใจ
" บันจี้จ้ำ " กระโดด พุ่งหลาวลงจากคอน .... แต่พอดีเส้นโซ่ ไม่ใช่เส้นยางยืด มันไม่กระเด้ง ยืด แล้วดึง แต่มันดัง กุบ ...... แล้วปีกก็กาง กระพือ ...... ห้อยหัวซะงั้น .......
:-o
หมดปัญญาที่จะกลับมาไต่ขึ้นไปบนคอน ห้อยหัวโตงเตง แกว่งไป แก่วงมา
พอจับขึ้นคอน .... ดูเหมือนขาเจ็บ .... เกาะคอนไม่สะดวก ก็ต้องถอดโซ่ ออก แล้วก็ย้ายไปให้อยู่ในกรง จนกว่าจะอาการดีขึ้น ( ดีน๊ะ ที่ขาไม่หัก ข้อไม่หลุด ) ไม่งั้นต้องส่งโรงพยาบาล ไป ต่อ แน่ ๆ เลย หุ หุ
:cry:
แค่เหตุการณ์ อย่างนี้ เกิดขึ้นกับนกตัวเล็ก ๆ สำหรับมือใหม่ คงไม่ใช่เพียงเหตุการณ์เดียวที่เกิดกับผมหรอกครับ แต่มักเกิดกับมือสมัครเล่น มือใหม่ เกือบทุกคนละครับ พ่อค้าแม่ขาย ฟาร์มต่าง ๆ ก็ไม่ได้บอกหมดหรอกครับ ว่าควรเลี้ยงแบบใด คงไม่ได้ถึงขั้นให้คำปรึกษาว่า จะทำอย่างไรต่อไป ยามเจ็บไข้ได้ป่วย และอื่น ๆๆๆ ครับ ( ต้องลองผิดลองถูกกันเอาเอง )
ปล. นี่คือนกชุดที่ 2 ที่ผมเลี้ยง ยังไม่ได้ไปถึงไหนเลยครับ หุ หุ ( ตามต่อ ยาวครับ )
มาว่ากันถึงอาหาร .... คนขายบอกว่า เมื่อนกโตแล้ว ให้กินกล้วยเป็นหลัก ( ให้บิเป็นชิ้นเล็ก ๆ ยัด ) ผมบอกว่า ยัดเลยหรือครับ .... เขาบอกครับ เหมือนให้เด็กกินกล้วยแหละ มีคุณค่าดีมาก สำหรับลูกนกกำลังโต ...
เราก็คนรักสัตว์ หรือใจง่ายหว่า .... รวมถึงไม่รู้จะไปศึกษา จากใคร หนังสือ หนังหา ก็ไม่มีประกอบ ก็เชื่อ อะครับ ยัดด้วยกล้วยครับ นกงี้ ตาเหลือกเลยครับ .... จะเพราะมันเหนียว เป็นก้อน หรือไง ทำให้ตอนยัดเข้าไป ทำให้เหมือนเขาหายใจไม่ออก ..... ต้องรีบ เอาไม้เขี่ยออกมา หุ หุ ( วันนั้น รอดตายไป ) ไม่ให้กล้วยแบบนี้อีกแล้ว เฮออ .....
เลี้ยงได้ 8 เดือนครับ คงเป็นเพราะเราเลี้ยงเขาไว้ในห้องนอน ที่บางครั้ง กลางวัน อากาศ จะอบอ้าว แต่กลางคืน เราเปิดแอร์ตามใจ คนอยู่เลยครับ ล่อซะ 23 - 24 องศา เลยครับ กลางวัน ร้อนซะ 36 - 38 องศา เลยครับ
เขาคงปรับตัวไม่ทัน แล้วก็ค่อย ๆ ทรุด ไม่กินอาหาร ป่วยเป่าน้ำมูก .... แล้วก็จากไปในเวลาอันรวดเร็ว (รวมถึงเวลาในขณะนั้น ค่อนข้างมีน้อย เฮอออ ...... ) :cry: :evil:
และแล้ว ก็เว้นช่วงไปสักระยะ ..... เกือบครึ่งปีได้ครับ ... :lol: :-D จะเพราะช่วงนั้นทำงานเยอะหรือไม่ก็ไม่รู้
พอมีเวลาได้เดินเล่นที่ อ.ต.ก. ก็ได้แว๊บสายตาไปเจอลูกนก ตัวนึง .... เรียกว่าเป็นนกต่างประเทศที่น่าเลี้ยง ในราคาที่พอจะจับต้องได้ สำหรับมือใหม่ ที่เริ่มขับมาบ้างแต่ไม่ดี อิ อิ
ก็คือ ....................................
อิเล็คตัส
อิเล็คตัส มาแว๊ววววว ระทึกหล่ะ คราวนี้
รอฟัง ด้วยความระทึก :-D :-D
ช่วงนั้น ..... นกที่พอจะซื้อหาเข้ามาเลี้ยงได้สำหรับมือสมัครเล่น คงหนีไม่พ้น อิเล็คตัส
เนื่องจาก ณ เวลานั้น นกที่ขายกันอยู่ ก็จะมีเพียงในตลาด Sunday ( ลานปลา ) แล้วก็ที่ จตุจักร ( ในวันเสาร์ และอาทิตย์ ) แล้วก็ ตลาด อ.ต.ก. ( ย้อนหลังไปเมื่อสัก 10 กว่าปี ที่ผ่านมา )
ซึ่งถ้าพูดถึงตลาดนัด Sunday ( ลานปลา ) ณ เวลานั้น ก็คงเป็นแหล่งที่ขายนกและสัตว์ป่า ในบ้านเราเสียเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีนกแก้วปากขอ พันธุ์ต่างประเทศ ( ในแถบเอเชีย ) ให้เห็นอยู่ปะปลาย
โดยส่วนใหญ่แหล่งตลาดนัด Sunday ในเวลานั้น น่าจะมีเป็นลูกกระตั้ว มีเดียม และ ไตรตัน ( เกรเตอร์ อินโด ) เสียเป็นส่วนใหญ่ รวมถึงมีนกโต และนกพร้อมเพาะพันธุ์ขาย แต่ด้วยสภาพนกที่เห็น ล้วนแล้วเรารับกับสภาพไม่ได้ ตัวเลอะเทอะ มอมแมม หน้าตาดูไม่น่าเลี้ยงสักเท่าไหร่ มีตั้งแต่เป็นลูกป้อน จนถึงนกโต ..... ( ซึ่งถ้าย้อนมาถึงวันนี้ นกในกลุ่มนั้น ล้วนแล้วเป็นนกเรือ ที่ขนผ่านมาทางเรือประมงเสียเป็นส่วนใหญ่ )
ซึ่งนกในกลุ่มนี้ ก็คงได้โตขึ้นมาเป็นพ่อแม่พันธุ์ ตามบ้าน ตามฟาร์มต่าง ๆ อยู่ ณ ปัจจุบันนี้ ละครับ
ณ. วันนั้น เรียกได้ว่า การศึกษาถึงการเลี้ยงนก การหาข้อมูลเชิงลึกในการเลือกซื้อนก รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บ อันเกิดกับนกปากขอ ที่เราจะซื้อหานำมาเลี้ยง มีเพียงน้อยนิด แหล่งศึกษาข้อมูลแทบจะหาอ่าน ที่ไหนไม่ได้เลยแม้จากห้องสมุด มีเพียงหนังสือต่างประเทศ ( แต่ภาษาเรา ก็แข็งแรง หุ หุ )
ถือเป็นการเลี้ยงโดยพึงทราบข้อมูลต่าง ๆ ผ่านพ่อค้าแม่ขาย ...... ไม่ใช่ผู้เพาะพันธุ์ เนื่องด้วยราคาที่ขายนั้นถ้ามาเปรียบเทียบกับนกที่เพาะพันธุ์จากฟาร์ม ราคาต่างกันกว่าครึ่ง คือ ลูกนกกระตั้วมีเดียม เริ่มกันที่ตัวละ 4000 – 6000 บาท / กระตั้วไตรตัน หรือ ( เกรเตอร์ อินโด ) เริ่มที่ 6000 – 8000 บาท รวมถึงนกโต ที่ราคาขยับขึ้นอีกนิดหน่อย
ส่วนกรณีกระตั้วมีเดียม ที่เพาะพันธุ์ออกมาจากฟาร์ม ราคาจะเริ่มที่ 7000 – 9000 บาท ส่วนไตรตัน ก็เริ่มที่ 9000 – 10000 บาท ( ราคาขึ้นอยู่กับสภาพนก ไซด์ อายุ และช่วยเวลา ณ เวลานั้น ๆ )
ราคาที่แตกต่างกันนั้น เป็นตัวชี้ว่า ผู้เพาะพันธุ์ จะไม่สามารถเปรียบเทียบราคากับนกเรือที่เข้ามาได้เลย แต่ผู้ซื้อ ก็หารู้ไม่ว่า ลูกนก ที่นำเข้ามาโดยทางเรือ ซึ่งสภาพการเลี้ยง การจับมา การนำมา ก่อนส่งถึงมือผู้ขายในบ้านเรานั้น ได้ผ่านการเลี้ยงดู การดูแล การให้อาหาร อย่างดีหรือไม่ และยิ่งการเคลื่อนย้าย มาเป็นจำนวนค่อนข้างมาก อาจจะทำให้ลูกนกมีการติดโรค ต่อ ๆ กันมา รวมถึง โรคขน ( PBFD ) ที่แฝงมา ในลูกกระตั้ว
จากที่เคยรู้จากน้อง ๆ หลาย ๆ คนที่ซื้อลูกนกเรือมาเลี้ยง มักมีปัญหาเกี่ยวกับการติดเชื้อทางเดินอาหาร ทางเดินหายใจ ถ่ายเหลว รวมถึงเป็นโรคขน ( PBFD ) กันทั้งนั้น ....... แล้วก็ตายในที่สุด หรือป่านี้ก็ขนร่วงหมดแล้ว
การเลือกสรร นกที่ดีมีคุณภาพ ก็พึงคิดเสียว่า นกจะต้องอยู่กับเราตราบนานเท่านาน ซึ่งข้อมูลต่าง ๆ นั้นก็ต้องศึกษาหาเอาเอง จะด้วยการพูดคุย จากผู้เคยเลี้ยง แล้วค่อย ๆ เก็บสะสมประสบการณ์
โอ้โห :-o พี่โด้ช่างเก่งกาจขนาดนี้
ข้าน้อยขอคารวะคร้าบ อิอิ
มาฟัง พี่โด้พาท่องยุทธภพนก ดีกว่า :-D
อ้างถึงDNA เป็นผู้เขียน:
โอ้โห :-o พี่โด้ช่างเก่งกาจขนาดนี้
ข้าน้อยขอคารวะคร้าบ อิอิ
เก่งก่ง เก่งกาจ อะไรหว่า เป็นแค่ประสบการณ์การเลี้ยงนก ที่มาแชร์ กัน ในนี้น๊ะครับ หลาย ๆ ท่าน ที่เริ่มเลี้ยงกันมาก่อน ไม่ได้มีเวลามานั่งพิมพ์ให้อ่านกันสักเท่าไหร่ครับ แต่ถ้าวันไหนเจอหน้ากัน คุยกัน เป็นเดือน ๆๆๆ ก็ไม่จบ หุ หุ
ปล. พอดีว่าง ๆ จากการป้อน นก ก็ใช้เวลานี้มานั่งเล่า นั่งบ่น ไป บ่นมา ให้อ่านกันเล่น ๆ น๊ะครับ เดี๋ยวจะหาว่าแก่ ไม่ได้แก่น๊ะ วัยสะรุ่นเด้อ ๆๆๆๆๆ .......... เดี๋ยววันไหนให้ท่านสมาชิก มานั่งเล่าเรื่อง แล้วอัดเทป แล้วพี่จะเขียนเป็นบทความให้ ท่าจะดีเน๊อาะครับ เริ่มจากเฮียเล็ก ก่อนดีไหมหนอ ...... ( สงสัย หมดหลายม้วน )
อ้างถึงGoGuy เป็นผู้เขียน:
มาฟัง พี่โด้พาท่องยุทธภพนก ดีกว่า :-D
ถ้าพาท่องยุทธภพ พอไหว ถ้าให้ท่องพิภพ ไม่ไหวอะ .... กลัว .... เดี๋ยวมันจะไปรวมกับกระทู้ ดอกจันทร์ และดอกไม้จันทร์ อะ หุ หุ ปล. หยอง ๆๆๆๆๆๆๆ 555
ถ้าจะพาท่องยุทธภพแล้ว รับลูกหาบมั๊ยพี่
มาต่อได้เเล้วครับท่านโด้ หมดถั่วต้มไปหลายกระสอบเเล้วนา :-D :-D :-D
อ้างถึงตอบ: เล่าประสบการณ์ ที่ใคร ๆ มักไม่เล่ากัน จะเป็นเพราะความซวย หรือเพราะไม่ดีเอง
โดย artz เมื่อ 2008/2/27 21:13:51
มาต่อได้เเล้วครับท่านโด้ หมดถั่วต้มไปหลายกระสอบเเล้วนา
ใช่ๆ ผมก็รออยู่ครับ
ยุทธภพช่างกว้างใหญ่ เหล่าจอมยุทธต่างมีตำนานของตน ที่มาที่ไปย่อมต่างกัน แต่มาพบกัน ณ.โรงเตี๊ยมแห่งนี้ โอ๊ะๆ ว่าไปนั่น
เอ สงสัยตู้นี้หยอดเหรียญไม่เข้าแฮะ ไม่ยอมเดินเครื่องต่อซะที :-D :-D
อ้างถึงartz เป็นผู้เขียน:
เอ สงสัยตู้นี้หยอดเหรียญไม่เข้าแฮะ ไม่ยอมเดินเครื่องต่อซะที :-D :-D
พอดีเครื่องมันรวน ๆ อะครับ พิมพ์แล้ว Post ขึ้นบ้างไม่ขึ้นบ้าง พอจะส่งใหม่ ดันเดี้ยงซะงั้น หุ หุ หมดมุข แป๊ก ไปเลยขอรับกระผม เดี๋ยวจะรีบ ๆ รวบรวมมุข มาเร็วที่สุดครับ
โปรดติดตามตอนต่อไป :-D
กำลังรอฟัง ตอนต่อไปอยู่ครับพี่โด้ ใจจดจ่อ ถ้าเป็นหนังจีน ตอนนี้ กำลัง เริ่มท่องยุทภพ เลยนะครับ กำลังลุ้นว่า ไปเจอคัมภีร์ ตอนตกเหวไหน ไปเจอพระอาจารย์ นั่งคุกเข่าอยู่กี่วัน อิอิ
เป็นประสพการณ์ ที่ดีครับ :-D
หยอดเหรียญ 10 แล้วนะพี่โด้
หลังจากพักเลียแผล เอ้ย!!! พักรักษาตัวทั้งคนพิมพ์ และสัตว์เลี้ยงต้นสังกัด ก็ย้อนกลับมาเรื่องการเริ่มเลี้ยงกันอีกสักครั้ง
ตอนนั้นตัวเองมีความสามารถเพียงการดูแลนกสายพันธุ์ไทยเป็นส่วนใหญ่ แต่คงไม่ใช่นกแก้ว เพราะแต่ละตัว เขาก็ต้องมีอันกราบแทบเท้าเรา ย้ายไปกราบแทบเท้าท่านยม เสียเกือบทุกตัวที่เลี้ยง คงเป็นเพราะเราเองที่เลี้ยงไม่ดี ไม่เคยศึกษาหาความรู้ มาเสริมทักษะให้กับตัวเอง และกลเม็ดเด็ดพลาย จะเร็วหรือช้า ไงถ้าเรายังเลี้ยงอยู่อย่างนี้ ก็คงไม่ได้ดีละครับ รังแต่จะทำให้หมู่มวลบริวารต้องเจ็บป่วยล้มตายไปอีก
ก็เลย มุ่งหน้าหาร้านค้า ... ที่จะให้ข้อมูลเราได้ ( ตอนนั้น อย่าพูดถึงฟาร์มเลยครับ .... ไม่เคยคิดว่าจะซื้อจากฟาร์มไหน... มีฟาร์มที่เพาะพันธุ์นกแก้วด้วยเหรอ... แล้วสายพันธุ์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงครับ ( ตอนนั้นโลก Internet ยังไม่กว้างไกล การหาข้อมูลก็ต้องหาจากหนังสือต่างประเทศ ซึ่งเราเองก็แข็งแรงมาก ๆ ครับ อิ อิ )
ณ. ตอนนั้นร้านค้าที่มุ่งหน้าเข้าเพื่อรับคำปรึกษา ก็คงหนีไม่พ้น ตลาด อ.ต.ก. ซี่งเป็นแหล่งรวมนกสวยงาม และสัตว์ต่างประเทศนานาชนิด ณ ตอนนั้น ร้านที่เข้าไปขอคำปรึกษา คือร้านคุณจิ๋ม
ซึ่งได้รับความรู้ และเทคนิคต่าง ๆ เกี่ยวกับการดูแลนก อาหาร รวมถึง วิตามินบำรุงสำหรับนก รวมถึงสิ่งละอันพันละน้อย ที่ได้รับ เมื่อแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน ..... โดยขณะนั้น เราเป็นผู้เข้ามาหาคำปรึกษา ..... ( ก่อนที่จะซื้อนกไปเลี้ยง เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาล้วนแล้ว ทำให้เป็นบทเรียนสำคัญ )
และแล้ว วันนึง ก็มาถึง ................
โดนขณะที่มาเดินเล่น นั่งเล่น ที่ร้านอยู่อย่างสม่ำเสมอ มองซ้าย มองขวา จะเป็นกระตั้ว โนรี และ มาร์คอ ก็คิดไม่ตกว่าจะเลี้ยงอะไรดี เพราะในขณะนั้น เราพร้อมเพียงเลี้ยงนกตัวนึง ที่ไม่ต้องยุ่งยากมากนัก การเลี้ยงดูสะดวกสบาย เสียงไม่ดัง ราคาพอซื้อหาไหว .....
ก็มาหยุดลงที่หน้าตู้ที่ใช้เลี้ยงลูกนก ภายในร้าน .....
พบลูกนกอยู่ในถ้วย 5 - 6 ตัว เป็นอิเล็คตัส เสีย 3 ตัว เป็นลูกกระตั้วโมโลคอน 2 ตัว ( ถ้าจำไม่ผิด ) ความจำยังดีอยู่ .... ไม่แก่ขนาดนั้น
ก็เลยถามกับพี่จิ๋ม ว่า โตขึ้นมาแล้ว สีสรร เขาจะเป็นเช่นใด ก็เลย
ได้รับคำตอบพร้อมกับชี้ให้ดูภายในกรง ... ตัวผู้สีเขียว ตัวเมียสีแดง...
โดยลูกนกดังกล่าว ยังตัวกระจิ๋วหลิว อยู่เลยครับ น่าจะสัก 10 วันได้
ก็เป็นอันว่า จองไว้ 1 ตัว ( เอาตัวผู้ ) อีก 1 เดือนมารับ .....
ซึ่ง ณ ขณะนั้น พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับอิเล็คตัส
เดินเข้านอกออกใน ร้านหนังสือต่างประเทศ ในห้างสรรพสินค้าและที่สวนจตุจักร ก็ได้มาเพียงเล่มเดียว ( แต่ก็ได้เปิดอ่าน แปลโดยใช้ ท็อคกิ้งดิค ) หุ หุ :-o :-D
รวมถึงเข้านอกออกในร้านค้าอยู่เป็นประจำ เพื่อถามถึงวิธีการเลี้ยงดู ( โดยตอนนั้นคิดว่า เอาเลี้ยงให้รอดปลอดภัย ไม่ได้มองถึงเรื่องอื่น ๆ เลย แม้แต่การเพาะพันธุ์ )
และแล้ว .......... ก็ถึงวันที่พร้อมรับตัว ..........
:-o :-D
วันนั้นจำได้ว่าเป็นวันเสาร์ รีบไปแต่เช้าเลยครับ ( ร้านเปิด 11.00 น. ) หุ หุ :-D
รับกลับบ้านเลยครับ ใส่กล่อง .... / อาหาร / อุปกรณ์การป้อน
รีบบึ่งรถกลับบ้านเลยครับ
พอถึงบ้าน หุ หุ .... แกะกล่องออกมา
เย้ย !!!!!! ลูกนกจาม ... ฟอด ฟอด ฟอด ... น้ำมูกโป่ง บริเวณตะหมูก
เอาแล้ววุ้ย !!!!!!
:-o :evil: :cry:
แค่เริ่มต้น ก็มันส์แล้ว :-D :-D :-D เอาอีก เอาอีก
ว่าไปให้ยาว ๆ เลยพี่โด้ แนวร่วมเยอะครับ
ผมรีบโทรกลับไปที่ร้าน บอกว่าอยาพึ่งปิดครับ เดี๋ยวผมจะแวะไปเอายา ลูกนกมีอาการเป่าน้ำมูกออกทางรูจมูก ... เป็นลูกโป่งเลยครับ
โดยขณะนั้น ก็เรียกว่าเย็นแล้วเหมือนกัน ขนาดไปเอาแค่ลูกนกตัวนึง ใส่กล่องกระดาษ วางไว้บริเวณด้านล่าง ( ที่วางเท้า ) ด้านคนนั่งข้าง แอร์รึ ก็ไม่โดน อาจจะมีพัดผ่านไปบ้าง แต่คงไม่ได้โดนเป่าลงไปเต็ม ๆ น๊ะครับ รวมถึงลูกนกอยู่ในกล่องกระดาษ ที่ปิดค่อนข้างมิดชิด มีเพียงรูนิดหน่อย ให้หายใจ
สุดท้าย ก็ต้องย้อนกลับไปเอายาครับ
( อันนี้สอนให้รู้ว่า ควรเตรียมตัว เตรียมอุปกรณ์หยูก ยา เอาไว้ให้พร้อม เพราะจะได้ไม่เสียเวลา )
ดีน๊ะครับ ที่ร้านรอเรา ยังไม่ปิด ถ้าต้องทิ้งข้ามคืนไปอีก 1 คืน ตื่นเช้ามา จะเป็นเช่นใดก็ไม่รู้
ยาที่ได้รับมา เป็นยาแก้หวัดสำหรับนกโดยเฉพาะ ( ออนิ สเปเชียล ) โดยให้ผสมกับอาหารป้อน ปริมาณ 1 หัวไม้ขีดไฟ ต่ออาหารป้อน 1 มื้อ ป้อน ติดต่อกัน 3 - 5 วัน
ลูกนกกินดีครับ อาหารย่อยหมดดี
:-D
ผมพึ่งจะรู้น๊ะครับว่า อิเล็คตัส เป็นนกปราบเซียนตัวนึงเหมือนกัน เพราะช่วยวัยเยาว์ มักมีปัญหาป่วยตายค่อนข้างเยอะ เฮออออ... ก็ถือว่าเราเลี้ยงรอดน๊ะครับ นึกว่าจะม้วยไปอีกรอบแล้ว
ลูกนกตัวนี้ก็เติบโตเป็นนกที่แข็งแรง
จนกระทั่ง
1 ปีผ่านไป ............. :-D :-o
อยู่มาวันนึง !!!!!
เล่นเว้นบรรทัดขนาดนี้ จะเอากี่ A4 ครับพี่ :-D
มาต่อโดยด่วนครับ กำลังระทึกครับพี่
รออ่านอยู่นะครับ
แหม่ มันน่านัก คุณโด้ อารมณ์ ค้างเลยเนี่ย เหมือนกำลัง ขึ้นรถไฟเหาะ กำลังไต่ระดับ แล้ว มีการประกาศว่า หมดเวลาแล้ว รางค่อยๆเลื่อนลงมา สู่จุดเดิม มาต่อซะไวๆเลยนะ ฮึ :evil:
อ้างถึงจิ เป็นผู้เขียน:
แหม่ มันน่านัก คุณโด้ อารมณ์ ค้างเลยเนี่ย เหมือนกำลัง ขึ้นรถไฟเหาะ กำลังไต่ระดับ แล้ว มีการประกาศว่า หมดเวลาแล้ว รางค่อยๆเลื่อนลงมา สู่จุดเดิม มาต่อซะไวๆเลยนะ ฮึ :evil:
ป้าใจร้อนเชียว :-D
ตอนเลี้ยงนกแก้ว ก็คิดแต่ว่า อยากเลี้ยงให้นกพูดได้ / เลี้ยงให้เกาะอยู่บนคอน / เกาคอ เคาคาง จับเล่นได้ / เลี้ยงเป็นเพื่อนยามเหงา
และแล้ว ก็จับเขาขึ้นคอน แต่จะจับขึ้นคอนเฉพาะตอนเราอยู่เท่านั้น ใส่โซ่ที่ข้อเท้า ( ไม่ได้ขลิบปีก )
เอามาเกาะแขนบ้าง ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้าง ทำคอนให้เขาเกาะเล่นที่สนามหน้าบ้านบ้าง
โดยในส่วนสนามหน้าบ้าน จะเป็นเสมือนที่อยู่หลัก กรณีที่เราอยู่บ้านนั่งเล่นในสวนหน้าบ้าน ( ซึ่งตอนนี้ ไม่มีแล้วสวน กลายเป็นปูนซีเมนต์ ไปซะงั้น หุหุ )
:lol: :lol: :-o :-D
และแล้ว อย่างที่กล่าวไปแล้ว ขนาดใส่ตรวน ..... เย้ย !!! โซ่เท่านั้น จับไป จับมา ใจดีคิดว่าเอาน่า ไม่อยากให้ใส่แล้ว เจ้าตรวนเนี่ย !!!
เดี๋ยวปะป๋า จะขลิบขนปีกน๊ะ จะได้ไม่ต้องใส่ตรวน ไปไหนมาไหน ได้สะดวกกว่านี้ ( แหมเราช่างใดดีเหลือเกิน ) เพราะเมื่อเราจับนกใส่ตรวน ปล่อยเดินไป เดินมา
สังเกตว่า โซ่จะพันขาบ้าง ตกคอนลงมาห้อยหัว โตงเตงบ้าง
ก็เลยเอาไงเอากัน อย่างที่เขาสอนมาเลย
จับตัวด้วยผ้าขนหนูหนา ๆ หน่อย ( เพราะเราไม่เคยจับเขาฝืน เขามีโอกาสแว้งกัดบ้าง เมื่อเขาตกใจมาก ๆ )
และแล้วก็เป็นดังคาดครับ
โอ๊ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!![/b]
ขอพักยกครับ สักพักแล้วจะกลับมาต่อให้เร็วที่สุดครับ
รอติดตามตอนต่อไปอยู่นะครับ
ลุ้นดีจังเลย
ชวนให้ติดตามมากเลยพี่ สนใจเขียนเรื่องสั้นเป็นงานอดิเรกมั๊ยพี่ อิ อิ อิ
อ้างถึงโอ๊ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
โด้..อย่า โอ๊ยนานนะน้อง .....โอ๊ยนานแบบนี้...น่าเป็นห่วง ถ้ายังไม่รีบกลับมาต่อ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า โอ๊ย! ครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับ นก เอานา :-D :-D
รออ่านต่อครับ
เป็นมือใหม่ครับ
อ้างถึงภารโรงเวบไซด์ เป็นผู้เขียน:
อ้างถึงโอ๊ย !!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
โด้..อย่า โอ๊ยนานนะน้อง .....โอ๊ยนานแบบนี้...น่าเป็นห่วง ถ้ายังไม่รีบกลับมาต่อ เดี๋ยวจะกลายเป็นว่า โอ๊ย! ครั้งนี้ ไม่เกี่ยวกับ นก เอานา :-D :-D
เจ้าของบ้านสั่งลุยแล้วนะพี่โด้
รออ่านต่อครับ ปู่โด้ ที่เคารพ
มารอครับ
อืม... ช่วงนี้กระทู้เงียบจังเลย
คุณโด้ครับ ทุกท่านรออยู่นะครับ...