จากกระทู้ขอบ่น ซึ่งเป็นกระทู้ที่เอา อารมณ์ นำ
กระทู้นี้ ขอเป็นเหตุผลมาก่อนนะครับ
การตอบใดๆ ขอเป็นเหตุผลนำ หากมีอารมณ์ สามารถระบายที่ขอบ่นนะครับ
ขอไปประชุมก่อน แล้วกลับมาสนทนาต่อครับ
มนุษย์ หรือ คนเราๆนี่แหละ ที่เดินอยู่ตามท้องถนน ผมคิดนะครับว่า เขามีอิสระจริงหรือ มีอิสระที่จะคิด มีอิสระที่จะทำใช่หรือไม่
สำหรับผมแล้ว คำตอบคือไม่ใช่ คนเราในปัจจุบัน ได้ร่วมกันสร้างกรอบ สร้างกฎเกณฑ์ ขึ้นมา เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ใครปฏิบัติตัวออกนอกกรอบ ถือว่า ทำผิด
ในเมื่อกรอบ กฎเกณฑ์ต่างๆ คนในสังคมนั้นเป็นผู้สร้างขึ้น หากมันตึงหรือหย่อนไป คนนั่นแหละจะเป็นผู้ปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมในช่วงเวลานั้นๆ
ซึ่งกรอบ หรือ กฎเกณฑ์ต่างๆ นี่เอง จะเป็นตัวกำหนดทางเดินให้คนในสังคมนั้นๆ ห้ามออกนอกกรอบ ซึ่งเปรียบเสมือนคนเราทั้งหลายอยู่ในกรง กรงที่มองไม่เห็น
ถึงเวลาประชุมอีกแล้ว ไปก่อนนะครับ
ใครมีความเห็นอย่างไร นำมาแลกเปลี่ยนกันบ้างนะครับ โดยใช้ เหตุผลนำนะครับ
ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นครับลุงน้อย ผมคิดว่าทุกคนมีอิสระทางความคิด เพียงแต่อิสระในการกระทำมักจะถูกจำกัดอยู่ภายในกรอบที่สังคมหรือคนเป็นผู้กำหนดโดยส่วนใหญ่จะอยู่บนพื้นฐานของมนุษยธรรม จริยธรรม ศิลธรรม และที่สำคัญคือการยอมรับ แตถ้าเราทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราแสดงออกตามความคิดมีผลดีตามการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ทำให้เกิดผลเสีย ถึงแม้จะออกนอกกรอบหรือฝืนกฎธรรมชาติไปบ้าง ในที่สุดสังคมก็จะยอมรับและจะกลายเป็นพฤติกรรมปกติที่ทำร่วมกันในสังคม นี่คือสังคมปัจจุบัน
ปล.เป็นความคิดส่วนตัวที่มองสังคมปัจจุบันนะขอรับ ผิดพลาดประการใดเด็กน้อยคนนี้ขอประทานอภัยด้วยขอรับ.. :-? :-?
กระทู้ขอบ่นเป็นเวอร์ชั่นมาร กระทู้สนทนาเป็นเวอร์ชั่นเทพ แล้วเราจะเข้ามาตอบกระทู้ไหนดีหว่า?? อิ อิ
มีเวลาอยู่บนโลก 2 หมื่นกว่าวัน ทำอะไรทำไปเถอะครับ ถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น ครับพี่น้อง 5 5 5
แล้วชีวิต ท่านล่ะครับผ่านมากี่วันแล้ว มาทำเรื่อง ดี ๆ กันเถอะครับ
พี่น้อย ขอแจมหน่อยครับ
ในเรื่อง " ลิ้น "
" ลิ้น" เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่อวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ มนุษย์สามารถฝึกสัตว์เดียรัจฉาน นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ทะเลให้เชื่องได้
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งที่ชั่ว ที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย เราชื่นชมมนุษย์ด้วยลิ้น ในทำนองเดียวกัน เราก็แช่งสาบมนุษย์ด้วยลิ้น สิ่งต่างเหล่านี้ ก็ออกมาจากที่เดียวกัน คือ "ลิ้น"
ชีวิตของคนเราเป็นเหมือนหมอกหรือควัน เป็นเพียงชั่วครู่เดียวก็หายไป ไม่มีใครจะสามารถอวดอ้างถึงพรุงนี้ได้ เพราะพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึง
คำพูดก็ เหมือนกัน เมื่อมันอยู่ในเรา เราก็เป็นเจ้านายมัน แต่เมื่อไหร่ ที่เราพูดออกไป คำพูดนั้นจะเป็นเจ้านายเราทันที่
ดังนั้น ทุกอย่างที่มนุษย์ได้พูดออกไป คนนั้นจะต้องรับผิดชอบในคำพูดนั้น ดังนั้น ตัวต้นเหตุ คือ " ลิ้น "
:oops: :oops:
อ้างถึงsuwan เป็นผู้เขียน:
พี่น้อย ขอแจมหน่อยครับ
ในเรื่อง " ลิ้น "
" ลิ้น" เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่อวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ มนุษย์สามารถฝึกสัตว์เดียรัจฉาน นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ทะเลให้เชื่องได้
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งที่ชั่ว ที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย เราชื่นชมมนุษย์ด้วยลิ้น ในทำนองเดียวกัน เราก็แช่งสาบมนุษย์ด้วยลิ้น สิ่งต่างเหล่านี้ ก็ออกมาจากที่เดียวกัน คือ "ลิ้น"
ชีวิตของคนเราเป็นเหมือนหมอกหรือควัน เป็นเพียงชั่วครู่เดียวก็หายไป ไม่มีใครจะสามารถอวดอ้างถึงพรุงนี้ได้ เพราะพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึง
คำพูดก็ เหมือนกัน เมื่อมันอยู่ในเรา เราก็เป็นเจ้านายมัน แต่เมื่อไหร่ ที่เราพูดออกไป คำพูดนั้นจะเป็นเจ้านายเราทันที่
ดังนั้น ทุกอย่างที่มนุษย์ได้พูดออกไป คนนั้นจะต้องรับผิดชอบในคำพูดนั้น ดังนั้น ตัวต้นเหตุ คือ " ลิ้น "
:oops: :oops:
อย่างนี้ต้องกำจัดต้นเหตุ คือ ตัดลิ้นมันซะเลยครับ อิ อิ ล้อเล่นนะครับ
อ้างถึงเด็กชายหาด เป็นผู้เขียน:
มีเวลาอยู่บนโลก 2 หมื่นกว่าวัน ทำอะไรทำไปเถอะครับ ถ้ามันไม่เดือดร้อนคนอื่น ครับพี่น้อง 5 5 5
แล้วชีวิต ท่านล่ะครับผ่านมากี่วันแล้ว มาทำเรื่อง ดี ๆ กันเถอะครับ
ตอนเด็กๆ แม่สอนให้รู้จักเก็บออม วันละบาทสองบาท
ถ้าทำตามแม่บอก ชาตนี้ น้องไฮ หมดสิทธิ์
แต่ผมขอสารภาพว่า ผมทำเกินที่แม่สอนไว้ แม่คงไม่ว่าผมนะครับ
อ้างถึงsuwan เป็นผู้เขียน:
พี่น้อย ขอแจมหน่อยครับ
ในเรื่อง " ลิ้น "
" ลิ้น" เป็นอวัยวะเล็กๆ แต่อวดอ้างเรื่องใหญ่ๆ มนุษย์สามารถฝึกสัตว์เดียรัจฉาน นก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ทะเลให้เชื่องได้
แต่ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งที่ชั่ว ที่อยู่ไม่สุขและเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย เราชื่นชมมนุษย์ด้วยลิ้น ในทำนองเดียวกัน เราก็แช่งสาบมนุษย์ด้วยลิ้น สิ่งต่างเหล่านี้ ก็ออกมาจากที่เดียวกัน คือ "ลิ้น"
ชีวิตของคนเราเป็นเหมือนหมอกหรือควัน เป็นเพียงชั่วครู่เดียวก็หายไป ไม่มีใครจะสามารถอวดอ้างถึงพรุงนี้ได้ เพราะพรุ่งนี้ ยังมาไม่ถึง
คำพูดก็ เหมือนกัน เมื่อมันอยู่ในเรา เราก็เป็นเจ้านายมัน แต่เมื่อไหร่ ที่เราพูดออกไป คำพูดนั้นจะเป็นเจ้านายเราทันที่
ดังนั้น ทุกอย่างที่มนุษย์ได้พูดออกไป คนนั้นจะต้องรับผิดชอบในคำพูดนั้น ดังนั้น ตัวต้นเหตุ คือ " ลิ้น "
:oops: :oops:
ผมเลยเลือกที่จะเขียน เพราะเราสามารถบังคับนิ้วได้ และสามารถใช้อ้างอิงได้ครับ
สิ่งที่จะสั่งลิ้นได้ คือ สมอง ศุนย์รวมแห่งความคิด และสิ่งที่จะบังคับสมองคือ จิตใจของคนเรานั่นเอง ซึ่งหล่อหลอมมาจาก ศิลธรรม จริยธรรม ประสบการณ์ และอื่นๆอีกมากมาย ที่ทำให้คนเรา อยู่เหนือสิ่งมีชิวิตอื่นๆในโลก
อ้างถึงNoru เป็นผู้เขียน:
:-)ถ้าตัดลิ้นแล้ว ปี่จะเหงา นะ คะ อะอะอะ อย่าคิดมาก ลิ้นปี่ไง
ขอโทษนะครับ ผมไม่สามารถห้ามความคิดผมได้ครับ
ห้ามไฟมิให้มีควัน ยังง่ายกว่าห้ามดวงใจผม หุหุหุหุหุ :-D
กลับมาเรื่อง กรง กรงที่มองไม่เห็น ที่เอาไว้ใช้ขังมนุษย์
สมัยมัธยม เราคงไม่ผ่านการเรียนหนังสือกันมาบ้าง นัยว่า เราเข้าไปอยู่ในกรอบของสถานศึกษานั้นๆ
ผมเอง ได้ศึกษาในรั้วสีชมพู-ฟ้า ได้ใช้ชีวิตในรั้วแห่งนี้ 6 ปี กระทบกระทั่งกับกรอบของที่อื่นๆอยู่บ้างเป็นครั้งคราว ทั้งในเรื่องแข่งขันทางความรู้ และ แข่งขันทางด้านกีฬา โดยเฉพาะด้านกีฬานี่แหละ ที่จะยอมกันไม่ได้ จตุรมิตรครั้งใด มีเฮทุกครั้ง แต่มีจัดอยู่เรื่อยไป เพราะ เป็นการให้ศิษย์เก่า กลับมารวมตัว รวมพลังสามัคคีกัน พวกเชียร์และให้กำลังใจ ตัวแทนของเราในการแข่งขัน
ทุกอย่าง มีดีมีเสียไปพร้อมๆกัน ช่วยกันมองสิ่งที่ดี ส่วนเรื่องเสีย ช่วยกันหาทางแก้ไข มีชีวิตย่อมดีขึ้นแน่นอน
ออกจากรั้วสีชมพู- ฟ้า ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งในรั้วนี้ มีอยู่ 2 กรอบ คือ มหาวิทยาลัยและคณะ สำหรับผมแล้ว ถึงแม้สีจะไม่แตกต่างไปจากเดิม คือ มหาวิทยาลัย สีชมพู ส่วนคณะ สีฟ้า แต่การใช้ชีวิตย่อมแตกต่างกัน และเราต้องปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่ เพื่อความอยู่รอดของเรา
จากคู่รักคู่แค้นสมัยมัธยม ถอดหมวกเก่า แต่งตัวใหม่มารวมตัวกันในคณะสีฟ้า แล้วไปแข่งขันกับคณะสีอื่นๆ ซึ่งก็คือ บรรดาเพื่อนๆเราสมัยมัธยมนั่นเอง
จากระดับคณะ ขึ้นสู่การแข่งขันระดับมหาวิทยาลัย ต้องถอดหมวกคณะออกก่อน มารวมกันเป็นหนึ่งในนามมหาวิทยาลัย เพื่อแข่งขันกับมหาวิทยาลัยอื่น ซึ่งเห็นรายชื่อรายนามแล้ว ไม่ใช่คนอื่นไกล กันเองทั้งนั้น รู้ไส้รู้พุงกันหมด การกระทบกระทั่งกันจะมีความรุนแรงน้อยลง มิใช่เหตุผลอื่นใดนอกเหนือไปจาก เพื่อนกันทั้งนั้น แต่ในเวลานั้น สวมหมวกคนละใบ
ออกจากรั้วมหาวิทยาลัย เข้าสู่วัยทำงาน ได้พบเพื่อนร่วมงานใหม่ๆ ได้สร้างทีมงานขึ้นใหม่ ซึ่งหากมองย้อนไปถึงประวัตการศึกษา หนีไม่พ้น คู่รักคู่แค้นทั้งนั้น จริงหรือไม่ครับท่านทั้งหลาย
เปรียบเสมือนกับ เราได้ขยายกรอบหรือกรงของเราให้กว้างขึ้น จากระดับมัธยม ออกเป็นระดับมหาวิทยาลัย ออกไปสู่ระดับจังหวัด ระดับประเทศ และสู่ระดับโลก
ถึงแม้ว่า เราจะขึ้นสู่ระดับโลก เรายังอยู่ในกรงระดับโลกอยู่ดี มีอิสระที่จะทำอะไรตามใจเช่นนั้นหรือ หากเป็นเช่นนั้น เราจะหาความสงบสุขบนโลกนี้ได้อย่างไร
ขอตัวไปประชุมก่อนอีกแล้วครับ
กลับมาจะวกเข้าสู่การกระทบกระทั่งระหว่าง คนรักนก กับคนรักษ์นก นะครับ หวังว่ายังไม่เบื่อกันนะครับ
อ้างถึงkitty75 เป็นผู้เขียน:
กระทู้ขอบ่นเป็นเวอร์ชั่นมาร กระทู้สนทนาเป็นเวอร์ชั่นเทพ แล้วเราจะเข้ามาตอบกระทู้ไหนดีหว่า?? อิ อิ
ตัดสินใจไม่ถูก ร่วมแจมทั้ง 2 กระทู้เลยพ่อคุณ
คนเรา มันมีทั้ง 2 ด้านอยู่แล้ว จะคิดมากไปทำไม
คราวนี้มาดู คนรักนก บ้าง ผมเองไม่เคยรู้จักบุคคลเหล่านั้นมาก่อน แต่จากการเสวนา ค้นพบว่า ไม่ใช่คนอื่นคนไกล คนเคยซื้อนกเลี้ยงนกกันทั้งนั้น อีกทั้งคนในครอบครัวก็ยังเลี้ยง รู้จักกันทั้งนั้น แล้วจะมาต่อว่ากันทำไม เมื่อก่อนมีอุดมการณ์เดียวกัน แต่วันนึง แนวคิดเปลี่ยนไป หันหน้าเข้าหาธรรม กำหนกกฎเกณฑ์ขึ้นมาใหม่ว่า การเลี้ยงนกแบบโน้นเป็นบาป ต้องเลี้ยงแบบนี้เป็นบุญ นกทุกตัวต้องการได้รับอิสระ ทั้งๆที่ตัวเองยังเลี้ยงนกอยู่ในกรง
ทำไมต้องเลี้ยงในกรง คำตอบมันชัดเจนอยู่แล้วว่า นกอยู่นอกกรงจะได้รับอันตรายต่างๆนาๆ และจะไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เอง ต้องได้รับการดูแลจากผู้ใจบุญ เห็นหรือไม่ครับ ว่ามาจากพื้นฐานเดียวกัน แต่ความเห็นเริ่มแตกต่างกันตรงที่ฝ่ายรักษ์นกนำมาเพาะพันธุ์และมีการซื้อขาย ส่วนฝ่ายรักนก ไม่ต้องการให้เพาะพันธุ์ และต้องดูแลมันไปจนตายห้ามเปลี่ยนเจ้าของ
ต่างกันเพียงแค่นี้จริงๆ แล้วเป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ตามมามากมาย ทำไมเราไม่มาคุยกัน หารือกันว่า ทำอย่างไร ให้นกมันสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ของมันได้ต่อไป
หากความเห็นดีๆตรงกัน ช่วยนำไปใช้กัน เผื่อประโยชน์ของสังคม อย่าไปตีความเป็นอย่างอื่นเลย
ส่วนความเห็นที่ขัดแย้งกัน มาหาข้อสรุป ข้อตกลงกัน หากสรุปได้จะเกิดแนวทางทำความดีร่วมกัน หากสรุปไม่ได้ มันไม่ได้หมายถึงต้องมีฝ่ายถูกฝ่ายผิด มองต่างมุมเท่านั้นเอง
ผมถึงเคยเขียนไว้ว่า คนรักนกทั้งนั้น จะมาสร้างกรงเพื่อแบ่งแยกกันทำไม
แม่เลี้ยง เป็นบุคคลที่มีความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ และงานวรรณกรรม เป็นเลิศ ลุงน้อยขอนับถือ 8-)
ใช่ครับ อ่านกระทู้ของแม่เลี้ยงได้ความรู้มากเลย หันกลับมามองตัวเองทีไร ทำไมเรามันไร้สาระเยี่ยงนี้ แงๆๆๆ
กลับมาเรื่อง นก ต่อ
นกที่ผมกำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ หมายถึงนกที่เกิดจากการปรับปรุงสายพันธุ์ เพื่อเป็นนกสวยงาม ซึ่งหลายๆท่านมีความเห็นว่า หากอยู่นอกกรง จะได้รับอันตรายจากสิ่งรอบตัว
นก ที่เลี้ยงอยู่ในกรงอยู่ตัวเดียว ถึงแม้ว่าคนจะดูแลมันเป็นอย่างดี มันมีความสุขจริงหรือ เคยให้มันตัดสินใจหรือเปล่าว่า มันอยากอยู่ตัวเดียว หรืออยากอยู่เป็นคู่ เราไปตัดสินใจแทนนกได้อย่างไร
ธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ต้องสามารถดำรงเผ่าพันธุ์ได้ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่พ้นกับคำว่า สืบพันธุ์ หากเรากำหนดให้ นกต้องอยู่ตัวเดียว ไม่อนุญาตให้มันสืบพันธุ์ นั่นหมายถึง เรากำลังทำให้มันสูญพันธุ์ มันจะไม่ขัดแย้งกับอุดมการณ์หลักหรือครับ
สิ่งที่เป็นประเด็นต่อมาคือ การซื้อขายชีวิตสัตว์ ในเมื่อเพาะพันธุ์ได้จำนวนมาก การดูแลย่อมไม่ทั่วถึง จำเป็นต้องจำหน่ายออก ที่เรียกกันว่า ซื้อขาย
เคยคิดกันหรือไม่ว่า หากเราประกาศให้นกกันฟรีๆ คนที่เอาชีวิตนกเล่านั้นไป จะเลี้ยงดูมันดีเพียงใด มันคงไม่แตกต่างจาก สุนัขจรจัด ข้างถนนทั่วๆไปนั่นเอง
ดังนั้น การตีราคาไว้ เป็นสิ่งที่รับประกันได้ว่า คนที่จะรับนกไปเลี้ยงต่อนั้น มีความสามารถที่จะดูแลชีวิตนกเหล่านั้น ดังเช่นพระเวชสันดร ที่กำหนดราคาบุตรไว้แตกต่างกัน
พิมพ์ไปพิมพ์มา เหตุผลเข้าข้าง พ่อค้านก อยู่นั่นเอง
หากคิดเช่นนั้น คงต้องถามตัวเองก่อนว่า เปิดใจรับฟังคนอื่นบ้างหรือยัง
แล้วจะมาสนทนาต่อว่า ทำไมพ่อค้านก ต้องดูแลนกเป็นอย่างดี
ลุงน้อยขา... อยากให้ลุงน้อยได้อ่านหนังสือเล่มนึงจัง ถึงจะไม่ใช่เรื่องนก แต่เป็นเรื่องการใช้ภาษาไทยเรานี่แหละค่ะ หนังสือ a day เล่มประมาณ 95 (ถ้าจำไม่ผิดนะคะ) ที่หน้าปกจะเป็นรูปคุณ ประภาส ชลศรานนท์ แล้วพลิกไปดูช่วงกลางๆเล่มหน่ะค่ะ ที่เป็นตอบคำถามจากที่มีคนถามมาทางเมลอ่ะค่ะ คำถามแรกคุณประภาสตอบได้โดนใจมากๆ หนูอ่านแล้วคิดถึงลุงน้อยคนแรกเลย เพิ่งเอาไปคืนไม่กี่วันนี้เอง(เช่าร้านหนังสือมาค่ะ) อ่านให้ได้นะคะ *0*
ขอบคุณครับ น้อง My Love ( ญ ) ลุงน้อยจะลองหาอ่านดูนะครับ ลุงน้อยดีใจอีกแล้วครับ ที่ได้รู้จักคนรักการอ่าน มันเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาความรู้ของคนในประเทศเลยนะเนี่ย
หากเด็กไทย รักการอ่านอย่างน้อง My Love ประเทศเราจะไปได้อีกไกลเลยครับ
ทำไมพ่อค้าต้องดูแลนกเป็นอย่างดี
ขอยอมรับว่า ไม่พ้นเรื่องเงิน ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อค้า ต้องค้าขายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การขายสินค้าใดๆ ต้องคัดเลือก และดูแลสินค้าที่จะนำมาเสนอขายต่อผู้บริโภค หากสินค้าไม่ดี จะทำให้พ่อค้าขาดทุน
ดังนั้น พ่อค้านก จะต้องพยายามดูแลนกให้เป็นอย่างดี ไม่ให้เจ็บป่วย ถ้านกมีปัญหา ใครจะซื้อครับ จริงอยู่ที่ว่า พ่อค้าบางรายอาจจะหลอกขายนกมีปัญหาได้บ้าง แต่มีพ่อค้ารายไหนจะปล่อยให้นกป่วยเพื่อมาหลอกขาย มันเสี่ยงเกินไปสำหรับเขา
มาเรื่องกรง ที่แออัดยัดเยียด
ข้อนี้คือข้อแตกต่างระหว่าง พ่อค้า และ ผู้เพาะพันธุ์ เนื่องจากมีเรื่องพื้นที่ใช้สอยเข้ามาเกี่ยวข้อง
สถานที่ค้าขาย ร้านค้า ไม่สามารถที่จะกว้างขวางใหญ่โตได้ เพราะ ไม่ใช่สวนสัตว์ เป็นที่พักนกชั่วคราว เพื่อย้ายไปสู่บ้านแห่งใหม่
ส่วนผู้เพาะพันธุ์ ไม่มีรายไหนที่จะให้นกอยู่ในที่คับแคบเกินไป เขารู้อยู่แล้วว่า นกต้องการพื้นที่ เพื่อความแข็งแรงของนก และเพื่อให้นกสามารถที่จะขยายพันธุ์ได้
ดังนั้น อย่าเหมารวมกันว่า พ่อค้านก กับผู้เพาะพันธุ์นก คือคนกลุ่มเดียวกัน
หากคำจำกัดความของ คนรักนก คืออะไร ดูแลนกอย่างไร
คำจำกัดความของคนรักษ์นก ผู้เพาะพันธุ์นก คือ คำจำกัดความของ คนรักนก บวกเพิ่มด้วย การให้นกอยู่เป็นคู่เพื่อขยายพันธุ์ และอาจเพิ่มด้วย การค้าขาย เพราะนั่นคือ ผลพลอยได้
ผู้เพาะพันธุ์บางราย ไม่ได้ขายนกออกไป เพราะมันคือความภูมิใจ และผู้เพาะพันธุ์ ส่วนใหญ่ ไม่ได้ขายนกที่ครอบครองทุกตัว เขามีนกตัวโปรดเขาเช่นกัน ส่วนที่ขายคือ นกที่เขาดูแลไม่ไหว เขารู้ว่า เขามีความสามารถดูแลได้แค่ไหนเพื่อให้นกที่มีอยู่มีคุณภาพดีที่สุด ท่านใดเห็นต่างจากผมหรือไม่ครับ
จากที่ผมเขียนมาทั้งหมด หวังว่า คงจะทำให้เข้าใจ และสามารถแยกแยะได้ว่า
คนรักนก คืออะไร คนรักษ์นก คืออะไร
ข้อแตกต่างระหว่าง พ่อค้านก กับ ผู้เพาะพันธุ์นกคืออะไร
นกบางชนิด ควรอยู่ในกรงหรือไม่
เราต้องการให้นกบางชนิดสูญพันธุ์ไปหรือเปล่า
และอื่นๆอีก
ที่ผมเขียนมาทั้งหมด น่าจะช่วยให้แยกแยะได้ว่า
คนรักนก คืออะไร
คนรักษ์นก แตกต่างจากคนรักนก อย่างไร
อีกทั้ง พ่อค้านก แตกต่างจากผู้เพาะพันธุ์นกอย่างไร
การกระทบกระทั่งกันบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา หลังจากอารมณ์เย็นลง มาทบทวนสาเหตุกัน และปรับปรุงแก้ไขกัน เพื่อลดข้อโต้แย้ง และลดปัญหาต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น เพื่อความสงบสุข และ ความร่วมมือกัน ที่จะไปให้ถึงจุดหมายเดียวกัน
จากการกระทบกันในครั้งนี้ ผมเห็นว่า
คนรักนก พยายามจะเลิกกินสัตว์ปีก เพื่อจุดยืนที่ชัดเจนในการที่รักษาชีวิตสัตว์ปีก ผมขอให้ทำต่อไป เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ขององค์กร ดี่ยิ่งขึ้น
ได้นำกระทู้ต่อต้านการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องลง แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่ยังเป็นคนไทย รวมถึงตัวผู้นำ ซึ่งได้ใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง อยู่ที่ว่า ตัวผู้ตาม จะแสดงสำนึกของความเป็นไทยออกมาเมื่อไหร่และอย่างไร ผมขอเชิญชวนคนไทยทุกคนนะครับ
สำหรับตัวผมเอง ผมเห็นด้วยกับการต่อต้านการซื้อขายชีวิตสัตว์ป่า ซึ่งผมเลิกหาซื้อชีวิตสัตว์ป่ารวมถึงนกป่าแล้ว แต่คงต้องดูแลสิ่งที่มีอยู่แล้วไปก่อน สัตว์นกสวยงาม มันไม่ใช่สัตว์ป่า ผมเห็นว่าควรแยกแยะออกจากกัน
ผมอยากให้กลุ่มรักนก กำหนดจุดยืนให้มั่นคง ลงไปดูในรายละเอียดด้วย อย่าเหมารวมๆกัน เพื่อให้แนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน จะได้ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ไปที่ละขั้น หากคุณเริ่มที่สัตว์ป่าอย่างเดียว คุณจะได้สมาชิกเพิ่มขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง การโต้แย้งและปัญหาต่างๆจะลดไปบ้าง เมื่อมีเสียงสนับสนุนมากขึ้น กำลังใจจะตามมา อุดมการณ์ต่างๆจะสำเร็จง่ายยิ่งขึ้นครับ
ของพูดถึงมุมมองที่แตกต่างกันเพิ่มเติม
การล้วงไข่
ข้อเสีย คือทำให้แม่นกมีสุขภาพแย่ลงก่อนกำหนด เพราะแม่นกจะไข่ออกมามากกว่าปกติ
ผมเห็นด้วยครับ แต่เรามีทางแก้ไขหรือไม่
ทางแก้ไขคือ เสริมอาหารบำรุงสุขภาพเข้าไปทดแทน
ผมเห็นว่าทำได้เช่นกัน และอาจจะดีกว่าในธรรมชาติด้วย
ข้อดี จะทำให้ได้ชีวิตใหม่ขึ้นมามากกว่าปกติ สามารถทดแทนสิ่งที่สูญเสียไป ลดการจับสัตว์ป่า และเป็นสิ่งที่ยืนยันว่า มันจะไม่สูญพันธุ์
เมือพิจารณาทั้ง ข้อดี ข้อเสีย แนวทางแก้ไข แล้วมาประเมิน ผมเห็นว่า การล้วงไข่ เหมาะสมที่จะทำ สำหรับมุมมองในทางอนุรักษ์
เหตุผลที่ผมกล่าวมานี้ รับฟังได้หรือไม่ครับ
จากกระทู้ที่ 5668 ความเห็นที่ 21 -22 ที่ทำตามข้อเสนอของผมให้เลิกกินไก่
จากกระทู้ที่ 5661 ความเห็นที่ 3 ที่เริ่มหันมามองที่ปลา เริ่มเปิดมุมมองไปถึงสัตว์อื่นๆ ตามข้อคิดที่ผมเคยเสนอ
แล้วถ้าผมจะเสนออีกข้อ จะรับฟังหรือเปล่า คือเรื่องการ ขลิบขนปีกนก ทั้งๆที่ไม่สนับสนุนให้มีการขลิบขนปีกนก แต่ผมไปได้วิธีการขลิบขนปีกนก จากที่แห่งนี้แหละ มันดูขัดๆยังไงชอบกล
ผมเสนอให้เอาข้อมูลนี้ออกไปดีกว่าครับ แจ้งข้อความไปเลยจะดีกว่าว่า ไม่สนับสนุน หากตัดผิด นกจะเสียชีวิต อาจจะทำให้เขาเปลี่ยนใจเลิกขลิบขนปีก
ฝากคุณแก้วตารับไว้พิจารณาด้วยครับ
สำหรับเรื่องการนอนของนก ที่ต้องปิดไฟให้มืดสนิท เพื่อการพักผ่อน 10-12 ชั่วโมง มันน่าจะจริงเหมือนกัน แต่ผมยังทำไม่ได้ เนื่องจากสถานที่มันจำกัด
แต่ผมมีคำถามอีกเหมือนกันว่า
ทำไมนกนางแอ่นที่อพยพมาตอนปลายปี มันต้องเลือกที่ถนนสีลม
ก่อนหน้านี้ เขาว่า นกมันเกาะสายไฟนอน ไม่มีสายไฟ มันคงไปนอนในสวนลุม
พอเอาสายไฟลงใต้ดิน มันยังเกาะต้นไม้บนถนนสีลม นอนอยู่เหมือนเดิม ไม่เห็นย้ายไปนอนที่สวนลุม ที่มืดมิดและสงบกว่า
เราควรจะบอกให้รัฐบาล ปิดไฟ บนถนนสีลม เพื่อให้นกนอนหลับพักผ่อนดีอย่างเต็มอิ่มดีหรือไม่
หรือว่าปล่อยไป ไม่ต้องไปช่วยมัน เพราะว่า นกพวกนี้ นิสัยไม่ดี หลง แสงสีเสียง :lol:
ทั้งๆที่มันเลือกได้ มันบินไปไหนก็ได้ มันยังเลือกนอนบริเวณที่มีแสงสว่าง ใครให้คำตอบผมได้บ้างครับ
ที่เลี้ยงผมก็มีเปิดไฟกลางคืนสลัวไว้ตลอดครับ เพราะเคยได้ยินว่าที่เลี้ยงนกไม่ควรมืดสนิท เพราะปลอดภัยเวลากลางคืนมันตกใจจะได้ไม่บินชนกรง แล้วก็น่าจะจริง บางครั้งกลางคืนมันตกใจกันบินพรึ่บพรับกันใหญ่
อ้างถึงnoon9999 เป็นผู้เขียน:
ที่เลี้ยงผมก็มีเปิดไฟกลางคืนสลัวไว้ตลอดครับ เพราะเคยได้ยินว่าที่เลี้ยงนกไม่ควรมืดสนิท เพราะปลอดภัยเวลากลางคืนมันตกใจจะได้ไม่บินชนกรง แล้วก็น่าจะจริง บางครั้งกลางคืนมันตกใจกันบินพรึ่บพรับกันใหญ่
*** ที่บินกันพรึบพรับในยามค่ำคืนนี่... หากท่านใดได้ยินเสียงผิดปกติควรเดินมาตรวจดูบ้างนะคะ... บางทีอาจเป็นแมวหรือหนูมากวนให้ตกใจค่ะ... :cry:
บ้านผมปิดไฟมืดเลยครับ เพื่อให้นกมันนอน แต่ข้างบ้านจะเปิดไฟ แสงสว่างเลยเผื่อแผ่มาถึงกรงนกด้วยเลย จนผมต้องนำกระเบื้องแผ่นเรียบ ไปบังแสงตรงคอนที่นกนอน และ รังไข่
ที่จริงผมไม่อยากบังเท่าไหร่เลย เพราะอยากให้ข้างบ้านเขาเห็นความสวยงามของนก เห็นเขามายืนคุยกับนกอยู่เป็นบางครั้ง แต่ผมอยากให้นกได้พักผ่อน ผมเลยต้องไปบอกเหตุผลกับข้างบ้าน กลัวเขาจะเข้าใจผิด
เ
อ้างถึงต้นอ้อล้อลม เป็นผู้เขียน:
อ้างถึงnoon9999 เป็นผู้เขียน:
ที่เลี้ยงผมก็มีเปิดไฟกลางคืนสลัวไว้ตลอดครับ เพราะเคยได้ยินว่าที่เลี้ยงนกไม่ควรมืดสนิท เพราะปลอดภัยเวลากลางคืนมันตกใจจะได้ไม่บินชนกรง แล้วก็น่าจะจริง บางครั้งกลางคืนมันตกใจกันบินพรึ่บพรับกันใหญ่
*** ที่บินกันพรึบพรับในยามค่ำคืนนี่... หากท่านใดได้ยินเสียงผิดปกติควรเดินมาตรวจดูบ้างนะคะ... บางทีอาจเป็นแมวหรือหนูมากวนให้ตกใจค่ะ... :cry:
ของบ้านผมเป็นแมวครับ ชอบมาทำให้นกตกใจ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเวลากลางคืนผมจะเอาอาหารแมวให้เม่นกิน เห็นมันมาจ้องเลยแบ่งอาหารให้มัน หลังจากนั้นกลางคืนมันมารอขอกินประจำ ไม่กล้าไล่สงสารมันครับ
ซำบายดีหรือปล่าวววววววววววว
ตีความหมายกันอย่างไร
คนรักกัน ตอบว่า
ดีจ้า ( ต่อด้วย ที่รัก หากเป็น President of black ear associate )
คนซี้กัน แบบ ตายกันไปข้างนึง คงจะแปลว่า
ไอ้ฉิบหาย อยากเห็นกรูป่วยหรือ เจือกถามได้
ดังนั้น ผมถึงชอบคำของสมาชิกท่านนึงมากๆว่า
เลือกอ่านที่ชอบ ที่ไม่ชอบข้ามๆไปบ้างก็ได้
ข้อความข้างบน ของผมเองครับ เหตุผลเดียวกับโกไก่เลยครับ