อยากให้เพื่อนๆ ที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์ลองอ่านดูเผื่อจะเป็นอุทธาหรณ์ได้บ้าง!

เริ่มโดย aey, ตุลาคม 08, 2009, 02:39:07 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

aey

อาลัยน้องแอ๊ะแอ๋..นกน้อยผู้เป็นรักของทุกคน
   เมื่อวาน  วันศุกร์ที่  2 ต.ค. 52  น้องตื่นตอนเช้ามาเข้าห้องน้ำและอึ๊ในชักโครกเหมือนปกติทุกวัน  กินน้ำ  กินอาหารปกติ  แต่พอประมาณ  9.30 น.  น้องเกาะไหล่เราอยู่แล้วก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำและเหนียว  เค้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  เรายังนึกว่าเค้ากินน้ำเยอะไปแล้วสำรอกออกมาหรือเปล่า  พอสักพักเค้าก็กินน้ำ  กินข้าวโพด  เค้าก็สำรอกออกมาอีก  อุจจาระของเค้าตอนนี้เป็นน้ำใสปนสีขาว  เวลาประมาณ 13.10 น. เราเห็นเค้ารู้สึกเพลียมากจึงพาเค้าไปนอนบนเตียงกับเรา  เค้านอนหลับซุกอยู่บนอกเรา  ตื่นมาอีกทีประมาณ 14.45 น.  ก็พาเค้าไปอึ๊ในห้องน้ำเราเห็นอึ๊เค้าสีไม่เขียวเหมือนเดิม กลับเห็นเป็นสีออกน้ำตาล ปนสีเนื้อคล้ายเลือดเราก็ไม่ค่อยสบายใจแล้ว  คิดว่าเค้าคงอาการไม่ดีแน่ ๆ   จากนั้นเค้าก็บินขึ้นไปเกาะบนราวผ้าม่านที่เดิมที่เคยยืนเล่นประจำ  เราก็เลยเอากระดาษสีขาวไปรองไว้ที่พื้นเผื่อเค้าจะอึ๊ลงมาจะได้เห็นว่าเป็นสีอะไร        ปรากฏว่าเค้าอึ๊ลงมาเป็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ   เราก็เอาทิชชู่เช็ดแล้วลองดมกลิ่นดูมันคือเลือดจริง ๆ  พอเค้าถ่ายเป็นเลือด 2 – 3 ครั้ง  เราก็รีบพาเค้าไปที่โรงพยาบาลสัตว์มหิดล  แต่พอไปถึงคุณหมอที่รักษาเรื่องนกโดยเฉพาะออกเวรไปแล้ว   แต่คุณหมอท่านอื่นบอกว่าคุณหมอท่านนี้เปิดคลินิกอยู่ประชาชื่น  เรากับน้องจึงรีบพาเค้าไปโดยเร็ว  แต่รถติดมาก ๆ  เราเดินทางออกจากมหิดล  17.30 น.  ไปถึงประชาชื่นก็ประมาณ  19.30 น.  กว่าจะได้พบคุณหมอก็ประมาณ  8.30 น.  แล้ว  เพราะคนเยอะมาก   พอถึงมือหมอเราก็สบายใจเพราะคิดว่าน่าจะรู้สาเหตุ และแก้ไขได้ทัน   คุณหมอถามคำแรกเลยว่าเลี้ยงเค้าแบบปล่อย หรือว่าใส่กรงไว้   เราก็ตอบไปว่าปล่อยให้เค้าเล่นอยู่ในบ้าน ซึ่งก็คงจะเหมือนกับทุก ๆ คนที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์ มักจะปล่อยให้เค้าเล่นในบ้าน เพราะเค้าชอบตามเจ้าของมาก ๆ เกาะหัว เกาะไหล่  ก็คงจะอดใจไม่ไหวที่จะไม่ปล่อยเค้าออกมาอย่างแน่นอน  คุณหมอสันนิษฐานว่าเค้าน่าจะไปกัดเอาของประเภทที่มีส่วนประกอบของโละหนัก  ประเภทสารตะกั่ว สารปรอท สังกะสี  หรือโลหะต่าง ๆ  รวมถึงพลาสติกทั่วไป  และพลาสติกที่หุ้มเหล็กไว้อย่างเช่นไม้แขวนเสื้อก็เป็นได้   เหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้  ทำให้เราได้มาฉุดคิดว่า  เค้าชอบกัด และแทะสิ่งของต่าง ๆ  มากมาย  รวมถึงไม้แขวนเสื้อก็ใช่      ถ้าคนที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์น่าจะรู้ดีว่ามันชอบกัดทุกอย่าง   แต่ด้วยความที่เราคิดว่าเค้าแค่กัดเล่น  ไม่ได้กินเข้าไป  ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่   แต่ทุกคนทราบไหมว่า  สิ่งต่าง ๆ ที่เค้ากัดแทะนั้นมีทั้งสารเคมี  สารพิษ  สารอันตรายต่าง ๆ ปนเปื้อนอยู่มากมาย  เพียงแค่เค้าเอาลิ้นสัมผัสมันก็ซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเค้าแล้ว  แต่นกอาจจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งเค้าได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และมีการสะสมไว้จากของเก่า  จึงเกิดอาการอย่างที่เห็นนี่แหละ  คุณหมอบอกว่านกที่ได้รับพิษแบบสะสมจะไม่แสดงอาการใด  เพราะสัญชาติญาณของสัตว์เมื่อเค้าอยู่เป็นฝูงถ้าสัตว์ตัวใดแสดงอาการอ่อนแอก็มักจะถูกล่าทันที   เพราะฉะนั้นนกที่พวกเราเลี้ยงมันจึงไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เกี่ยวกับอาการของเค้าเลย  จนกระทั่งเค้าทนไม่ไหว  ร่างกายรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  จึงมีอาการอาเจียน และถ่ายเป็นเลือดอย่างน้องแอ๊ะแอ๋ของเรานี่ไง   คุณหมอป้อนยาฆ่าเชื้อ และยาบำรุงให้ก่อน 1 มื้อ  และสั่งยาให้เราไปป้อนต่อในวันรุ่งขึ้น  พร้อมทั้งให้นำเกลือแร่ใส่น้ำให้เค้ากินด้วย   เรากับน้องก็ถามคุณหมอตรง ๆ เลยว่า  อาการแบบนี้เค้ามีโอกาสเสียชีวิตมากมั๊ย   คุณหมอท่านก็ตอบตรง ๆ เลยว่า "มี"  เท่านั้นแหละเราก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว  ทั้งที่เราร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 3 โมง  จนกระทั่งมาที่โรงพยาลบาลนี้  เพราะเราเห็นอาการเค้าก็น่าตกใจและสลดหดหู่เติมทีแล้ว  และหวังเพียงว่าถ้าได้พบคุณหมออาจจะช่วยชีวิตเค้าไว้ได้  แต่อาการของเค้าเป็นค่อนข้างหนักแล้ว  แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเค้ามีความอดทนมาก ๆ เค้าพยายามที่จะกินน้ำเมื่อเค้ารู้สึกหิว ยืนเกาะคอนไว้แน่นไม่มีอาการโซเซแต่อย่างได้  ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจที่จะดูแลเค้าให้เต็มที่เพื่อเค้าจะมีชีวิตรอดอยู่กับเราต่อไป  คุณหมอนัดมาดูอาการอีกครั้งวันอาทิตย์ ที่ 4  ต.ค. 52  เราได้แต่หวังว่าเค้าจะหายแล้วมาพบคุณหมอด้วยอาการร่าเริงในวันอาทิตย์นี้   หลังจากหาหมอเสร็จกลับถึงบ้านก็ให้เค้าเข้านอนในที่นอนของเค้าบนโต๊ะ ห่มผ้าให้เค้าก่อนนอนเหมือนเช่นเคย  เค้าก็นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ  เราคอยลุกมาดูเค้าตลอดนอนไม่หลับเลย  คิดเพียงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น แต่มันกลับเป็นเรื่องจริงที่เรายังทำใจรับมันไม่ได้เลย เวลาประมาณ ตี 2  เราได้ยินเสียงเหมือนเค้าตื่น แล้วเค้าก็มาเกาะแขนเราเพื่อเข้าไปกินน้ำในกรง  หลังจากนั้นเค้าก็ยืนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่บนคอนของเค้าจนถึงเช้า  
วันเสาร์ ที่ 3 ต.ค. 52  พอตอนเช้าเราเดินจะไปห้องน้ำเค้าตื่นนอนมา แล้วก็เรียกชื่อเราเหมือนที่เค้าเรียกทุกเช้า แต่คราวนี้เค้าเรียกเพราะเค้าอยากให้เราอยู่ใกล้ ๆ เค้า  ไม่อยากให้เราเดินไปไหนเลย  เราได้แต่นั่งร้องไห้อยู่หน้ากรงเค้า เพราะเค้าก็ยังถ่ายเป็นเลือดอยู่เลย  เราคิดว่าเค้าน่าอยู่กับเราได้อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว  เพราะถ้าเค้ายังถ่ายเป็นเลือดอยู่แบบนี้เลือดเค้าก็ต้องหมดตัวแน่ ๆ  ตอนนี้เราอยากให้ถึง 10.00 น. เร็ว ๆ  เพื่อจะได้ป้อนยาให้เค้าเป็นมื้อที่ 2  เผื่อจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทรมานของเค้าให้เร็วขึ้น  หลังจากป้อนยาเค้าก็เพลียยืนหลับๆ ตื่นๆ เหมือนเคย  แต่ก็ยังถ่ายเป็นเลือดอยู่  ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาว่าเค้าจะอยู่กับเราได้ถึงคืนนี้มั๊ย.....เสียใจที่สุดที่เค้ากำลังจะจากไป....แต่ก็ดีใจที่ได้รักเค้า พวกเราทุกคนสัญญาว่าจะดูแลเค้าไปตลอดจนกว่า จะถึงวาระสุดท้ายอย่างดีที่สุดตอนนี้เวลา14.16 น.
วันเสาร์ที่  3 ต.ค. 52  ช่วงเย็นประมาณ 17.30 น.  เราและน้องทนเห็นสภาพที่เค้าถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลา
ไม่ไหวแล้วเหมือนนั่งรอเวลาว่าเค้าจะไปจากเราเมื่อไหร่ซึ่งเราก็ทำใจไม่ได้  จึงตัดสินใจโทรไปถามที่โรงพยาบาลมหิดลเรื่องการใช้วิตามิน k เพื่อการห้ามเลือดที่เค้าถ่ายออกมาไม่หยุดเลยว่าจะสามารถทำได้มั๊ย    ทาง รพ.จึงแนะนำให้เราไปที่  "ราชพฤกษ์สัตวแพทย์ " คลินิกรักษาสัตว์ อยู่ติดกับ Home Pro พระราม 5 เค้าให้เบอร์โทรศัพท์มา 02-422-2265  เพราะที่นี่มีคุณหมอที่เก่งเรื่อง Exotic-pet  เราจึงเดินทางพาเค้าไปพบคุณหมอโดยเร็ว  เพราะเราคิดว่าการที่เราพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้เค้าหายจากการทรมานครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยชีวิตเค้าไว้ได้หรือไม่ก็ตาม  เราก็จะทำและทำให้ดีที่สุดเพื่อเค้าเป็นครั้งสุดท้าย   พอถึงคลินิกคุณหมอก็เห็นว่าเค้าถ่ายเป็นเลือดแต่คุณหมอไม่แสดงอาการตกใจหรือทำให้เรารู้สึกใจเสียแต่อย่างใด    คุณหมอหยิบตำราเกี่ยวเรื่องนกต่าง ๆ มากมายมาให้เราได้อ่าน ให้ดูรูปภาพพร้อมทั้งอธิบายโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับนกให้เราได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของอาการแทรกซ้อนจนทำให้เค้าต้องอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดให้เราฟังจนเข้าใจ  (คุณหมอท่านเก่งและมีความเชี่ยวชาญในการศึกษาเรื่องโรคต่าง ๆ เป็นอย่างดี)  ตามที่คุณหมออธิบายให้ฟังเราพอจับต้นชนปลายได้ว่า  น้องแอ๊ะแอ๋น่าจะมีเชื้อไวรัส  PBFD (Psittacine beak and Feather disease)  หรือ โรคไวรัสปากและขนในนกแก้ว   สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส คือ Diminuvirus ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่อยู่ในกลุ่ม Microvirus สามารถติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วผ่านทาง fecal-oral route  อาการ :  ความผิดปกติของจงอยปาก และเล็บ คือ งอกยาวเร็วกว่าปกติ  มีรอยร้าว เปราะ แตกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปาก  ผิวมันกว่าเดิม  จงอยปากที่หัก หรือเล็บอาจเกิดลักษณะแผลเรื้อรังจนถึงเนื้อตาย  ปากบนและล่างบิดเบี้ยวสบกันไม่สนิท  ความผิดปกติของขน คือ  ขนหลุดร่วงบริเวณลำตัว หัว และปีกอย่างรวดเร็ว  ขนใหม่เกิดขึ้นมายังไม่ทันจะสมบูรณ์เต็มเส้นก็หลุดร่วงออกไปโดยมีลักษณะคอดตรงโคนหรือ บิดเบี้ยว  ขนอ่อนขึ้นประปรายโดยทั่วไป  ในระยะท้าย ๆ มักไม่มีขนเหลือ  การรักษา : ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ นกที่ป่วยด้วย PBFD จะตายโดยโรคแทรกซ้อนภายใน 2 ถึง 4 ปี การรักษาจึงเป็นเพียงป้องกันโรคแทรกและสร้างความแข็งแรงแก่นกเช่นให้ยาปฏิชีวนะ วิตามินและฮอร์โมนช่วยเป็นระยะ ๆ  คำแนะนำ : ทำการฆ่าเชื้อกรงและสถานที่ใกล้เคียง ซึ่งนกป่วยอาศัยอยู่ โดยการล้าง ขัดถู และฟอกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค  หากมีการเกิด PBFD ของนกที่เป็นพ่อแม่พันธุ์ให้ยุติการขยายพันธุ์ อย่างน้อย 2 ปี ถึง 3 ปี และกำจัดตัวที่ป่วยออกไปจากโปรแกรมการขยายพันธุ์  แยกนกป่วยไปให้ห่างไกลจากนกปกติ และมีการป้องกันการแพร่กระจายของโรคนี้อย่างเข้มงวด   สำหรับเชื้อไวรัส  PBFD ยังรักษาไม่หาย
ทั้งหมดที่เล่ามานี้  เราได้รับฟังการอธิบายมาจากคุณหมอ พร้อมทั้งดูจากตำราที่คุณหมอนำมาให้อ่านด้วย จึงพอสรุปได้ว่า  ในตัวน้องแอ๊ะแอ๋เค้ามีเชื้อไวรัส PBFD อยู่  เมื่อไหร่ที่น้องเครียด ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีภูมิต้านทาน  ก็จะมีโรคแทรกซ้อนมากมายหลายโรคเข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายของน้องทันที   สำหรับน้องแอ๊ะแอ๋คุณหมอนำอุจจาระไปตรวจดูเพื่อจะได้ทราบว่าน้องได้รับเชื้ออะไร  จึงทำให้น้องอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดแบบนี้  แต่ปรากฏว่าคุณหมอตรวจแล้วไม่พบ  กรณีนี้คุณหมอบอกว่าอาจเกิดขึ้น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ยาฆ่าเชื้อที่ได้รับจากโรงพยาบาลแรกที่ไปหานั้น  ให้น้องกินมาแล้ว 2 มื้อ  ยาอาจจะฆ่าเชื้อไปแล้ว  หรือ  กรณีที่ 2  เชื้อได้เข้าไปลึก หรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในร่างกายน้อง  ทำให้หาเชื้อไม่เจอก็ได้    แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกรณีที่ 2 มากกว่า  เพราะถ้าเป็นแบบกรณีแรกหลังจากให้ยามาแล้ว 2 มื้อ  ทำให้น้องถึงยังถ่ายเป็นเลือดอยู่  แถมยังมากขึ้นทั้งสีเข้ม และข้นขึ้น  ปริมาณมากขึ้น  ระยะเวลาถ่ายถี่ขึ้น  ไม่เห็นอาการจะดีขึ้นตรงไหน  มีแต่แย่ลงมากกว่า  คุณหมอเลยฉีดยาฆ่าเชื้อ โดยคาดว่าน่าจะเป็นเชื้อโปรโตซัว  ที่ทำให้น้องแอ๊ะแอ๋มีอาการแบบนี้
เวลา 19.30 น.  คุณหมอฉีดยาให้น้อง 2 เข็ม และให้ยามาป้อนน้องด้วย  คุณหมอบอกว่ายาฆ่าเชื้อที่ฉีดไปจะออกฤทธิ์ ภายใน 6 ชม.  พอกลับมาถึงบ้านเราก็นั่งสังเกตการณ์ถ่ายของน้องว่าเป็นสีอะไร หลังจากฉีดยาได้ประมาณ 2 ชม. สีของอุจจาระ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง  สีน้ำตาลเข้ม  และเป็นสีเขียว  ตามลำดับ  แสดงว่าคุณหมอมาถูกทางแล้ว  น้องน่าจะได้รับเชื้อโปรโตซัวจริง  เพราะหลังจากได้รับยาน้องมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  พวกเราทุกคนดีใจมากที่น้องแอ๊ะแอ๋หยุดถ่ายเป็นเลือดแล้ว  เราคอยมองคอยดูเค้าเกือบตลอดทั้งคืน  และเป็นแบบนี้มา 2 คืนแล้ว  พอถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.52  น้องแอ๊ะแอ๋ลืมตาแป๋วเลย  ผิดกับเมื่อวานที่ตาสะลึมสะลือคอยแต่จะหลับตาอยู่อย่างเดียว  วันนี้น้องดีขึ้นมาก ๆ ทุกคนดีใจ  เค้าเรียกชื่อเราว่า "พี่เอ๋ " เหมือนที่เค้าเคยเรียก  เค้าส่งเสียงกรี๊ดเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาเหมือนที่เค้าทำเป็นประจำ    อาการภายนอกของน้องดูน่าจะสบายดี   และดูปลอดภัยทุกอย่าง  ถึงแม้โอกาสปลอดภัยของน้องอาจจะมีเพียงแค่ 1% จนถึง 50%  แต่ไม่ถึง 100% ก็ตาม  แต่ก็ยังดีกว่าวันก่อน ๆ ที่ถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลาแน่นอน  วันนี้น้องทำให้เรากินข้าวได้ซะที  หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่น้องเกิดเรื่องนั่นแหละ   ตอนเย็นคุณหมอนัดน้องมาฉีดยาอีกครั้ง  เวลา 19.00 น.  เพื่อจะได้เวลาใกล้เคียงกับการฉีดยาให้ในวันแรก   พอถึงเวลานัดเรากับน้องสาวและน้องแอ๊ะแอ๋ก็เดินทางไปหาหมอกัน  พอไปถึงคุณหมอยังมาไม่ถึงเราก็นั่งรอสักพัก  พี่ผู้ช่วยที่อยู่ที่โรงพยาบาล  พอเค้าเห็นว่าน้องแอ๊ะแอ๋มา และมาด้วยอาการที่ดีขึ้นมาก  เค้าก็ดีใจมานั่งคุยกับน้อง  น้องก็พยักหน้าไปมาเป็นการตอบรับด้วย   พอคุณหมอแอนและคุณหมอตุ้มมาถึงเห็นน้องแอ๊ะแอ๋มาก็ดีใจที่เค้าหายจากอาการถ่ายเป็นเลือดแล้ว  แถมยังแซวด้วยว่าวันนี้เจ้าของก็อาการดีกว่าเมื่อวานเยอะเลย   คุณหมอพาน้องไปฉีดยาเหมือนเมื่อวาน  เราก็เล่าอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้คุณหมอฟังว่าเวลาเค้ายืนนอนหลับอยู่บนคอน  ทำไมเค้าก้มหัวลงมาเยอะจัง  เค้าเป็นอะไรหรือเปล่า  คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับการหายใจของเค้า   อาจจะเกิดจากการสำลักอาหารของเค้าในวันที่เค้าอาเจียน  อาหารไม่ย่อย  กระเพาะพักอาหารไม่ทำงาน  แล้วอาหารนั้นก็สำลักลงปอดไปก็เป็นได้  เราได้ฟังก็เริ่มไม่ค่อยสบายใจ เพราะเค้าก้มคอลงมาเยอะมากดูไม่ค่อยดีเลย  แต่อาการอย่างดูภายนอกดีหมด  นอกเสียจากว่าเค้าเก็บอาการสาหัสและรุนแรงไว้เท่าที่เค้าจะทนได้ก็ไม่รู้   เรากับน้องสาว และน้องแอ๊ะแอ๋ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยรักษาและช่วยชีวิตเค้า  ส่วนคุณหมอก็พูดกลับมาว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าช่วยชีวิตเท่านั้น  แต่เป็นการกู้ชีวิตน้องแอ๊ะแอ๋ต่างหาก  พอกลับถึงบ้านเราเตรียมอาหารเตรียมยาเพื่อจะป้อนให้เค้า  พอดีน้องสาวเราโทรเข้ามา น้องแอ๊ะแอ๋ก็เรียกชื่อน้องเราว่า  " พี่อุ๊ "  น้องสาวเราดีใจมากที่เค้ายังจำได้และยังมีแรงที่จะเรียกชื่ออยู่    หลังจากนั้นเราป้อนอาการและยาน้องก็ยืนนอนหลับบนคอนก้มหน้าลงมากเหมือนเดิม  เราก็เริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเพราะสงสัยในอาการและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พยายามประเดประดังเข้ามาในทุก ๆ นาทีสำหรับผู้ที่อ่อนแอจริง ๆ   คืนนั้นเรานอนไม่หลับนั่ง  Search Internet โรคต่าง ๆ  ข้อมูลต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับอาการป่วยของนก และเรื่องอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้กับเค้า  อ่านเสียจนเครียดเพราะแต่ละคนที่เล่าประสบการณ์  พร้อมทั้งเอกสารทางวิชาการที่เราได้อ่านนั้น  สุดท้ายเค้าก็ต้องจากเราไปอยู่ดี  ด้วยอาการที่เกิดขึ้นหลาย ๆ แบบ  มีทั้งหนัก และเบา หรือเฉียบพลับไปเลยก็มี   ประมาณ ตี 2  เราแอบดูน้องแอ๊ะแอ๋อีกครั้งว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง  เห็นเค้าหลับดีไม่เป็นอะไรก็สบายใจแล้ว  เราเอาผ้ามาคลุมกรงเข้าไว้หลาย ๆ ชั้น  เอาถุงเจลร้อนวางไว้ที่ไต้ผ้าให้เค้านอน ไม่เปิดแอร์  เพราะน้องแอ๊ะแอ๋ป่วยอยู่ต้องการความอบอุ่นของร่างกายมากที่สุด คืนนี้ก็เป็นอีก 1 คืน ที่เรานอนแต่ไม่ค่อยหลับเพราะกังวลเรื่องอาการป่วยของเค้า  เราคอยลุกมาเปิดผ้าคลุมกรงแอบบดูเค้าเพื่อจะได้คอยสังเกตถึงความผิดปกติของเค้าหลังจากผ่านอาการป่วยที่เรียกได้ว่า "ขั้นโคม่ามาก ๆ"  มาแล้ว
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2552  ตอนเช้าเราตื่นมารีบลุกขึ้นมาดูน้องก่อนเป็นอันดับแรก  ว่าเค้ายังอยู่ดีมั๊ย  สบายดีมั๊ย  มีอาการอะไรผิดปกติอะไรหรือเปล่า  พอเปิดผ้าที่คลุมกรงแอบดูเค้า  เค้าก็ลืมตามองมาที่เราแล้วเค้าก็ผงกหัวทักเราทันที  แต่ถ้าปกติตอนที่เค้าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร  เค้าจะเรียกชื่อเราทันที  "พี่เอ๋  พี่เอ๋...."  พอเค้าตื่นได้สักพัก  เวลา 8.00 น. ก็ได้เวลาป้อนอาหารและป้อนยาเค้าแล้ว  เราเห็นเค้าขย่อนอาหารออกมานิดหนึ่งก็เลยนำมาดูก็เป็นอาหารที่เค้ากินไปเมื่อวาน  อาจจะย่อยไม่หมดก็ได้    จากนั้นเราก็จุบเค้ามาป้อนอาหาร  ป้อนยา  เค้าไม่ดื้อเลย  ยอมกินทั้งอาหาร  ยอมกินทั้งยา  เพราะเราเชื่อว่าจิตใจเค้าเข็มแข็งมาก  เค้าก็คงอยากจะหายจากอาการป่วยเหมือนกัน  ป้อนอาหารไปพลางก็พูดอธิบายบอกเหตุผลที่ต้องกินอาหารให้เค้าฟังว่า ถ้าน้องไม่กินอาหารกระเพาะน้องก็ไม่มีอาหารให้ย่อย  มันก็จะไปย่อยอย่างอื่นแทนก็ได้นะ   เวลาป้อนยาก็เหมือนกันก็อธิบายไปพลางป้อนไปพลางว่าถ้าน้องอยากหายเร็ว ๆ อยากมาเล่นกับพี่เอ๋เร็วน้องต้องกินยานะจะได้หายไม่สบายไง  น้องแอ๊ะแอ๋เค้าก็ยอมกินแต่โดยดีไม่ขัดขืนเลย   น้องน่ารักมาก ๆ  น่ารักที่สุดเลย พี่เอ๋รักน้องมากๆ  แล้วก็หอมหัวเค้าเบา ๆ   เราพูดกับเค้าเมื่อป้อนยาเสร็จ    ซึ่งคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่เราพูดอยู่กับเค้าเป็นประจำ  และหอมหัวเค้า  จุ๊บปากเค้า  แล้วก็บอกรักเค้าเป็นประจำทุกวัน  และตลอดเวลาด้วยซ้ำไป    เวลา 09.10 น. หลังจากเค้ากินอาหารและกินยาเสร็จสักพักเค้าก็ยืนหลับอยู่บนคอน  คอเค้าไม่ก้มลงมาแล้วเราก็ดีใจ   แต่คอเค้ากลับหงายคอขึ้น พร้อมหมุนคอไปเกือบจะ 360 องศาแล้ว แล้วก็มีอาการกระตุกเล็กน้อย  เราเห็นแบบนี้ก็ตกใจมาก  แล้วก็เริ่มรู้ในทันทีว่านี่คือการเริ่มต้นของอาการชัก  เพราะพอเค้าเริ่มป่วยเราก็เริ่มศึกษา  ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณหมอที่รักษาน้องบ้าง  จาก Internet  บ้าง   ทำให้เราแน่ใจว่านี่คืออาการชักแน่นอน   เราจึงรีบอุ้มเค้ามาห่อผ้าหนา ๆ พร้อมทั้งกอดเค้าไว้เพื่อให้เค้ารู้สึกอบอุ่น  และหอมหัวเค้าเบา ๆ แล้วก็บอกรักเค้าว่า  แอ๊ะแอ๋  พี่เอ๋รักน้องมาก ๆ นะ  น้องสวยมาก ๆ น้องเก่งมาก ๆ  พร้อมทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาไม่หยุด  เพราะนี่คืออาการที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับเค้าแล้ว  เรารีบโทรบอกแม่  โทรบอกน้องให้รีบมาดูใจเค้าหน่อยเพราะเค้ารอทุกคนที่เค้ารักจริงๆ  เค้ามีอาการชักแบบไม่หนัก 3 – 4 ครั้ง  แต่ที่อาการหนักคือหมุนคอดิ้นไปมา พร้อมร้องดังด้วยความเจ็บปวด  เราก็แทบขาดใจทุกครั้งที่เห็นเค้าชัก  น่าสงสารน้องมาก ๆ    น้องสาวเรารีบมาจากที่ทำงานเพราะกลัวว่าจะมาดูใจเค้าไม่ทัน  เวลา 14.00 น. น้องเรากลับมาถึงบ้าน  น้องเราเรียกชื่อเค้าว่า  " แอ๊ะแอ๋ " ด้วยอาการที่แย่มากไม่ร้อง ไม่พูด ไม่เรียกใคร  แต่พวกเราทุกคนกลับได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงกรี๊ดเสียงดังมาก  เค้าตอบรับเสียงที่น้องสาวเรามาหาเค้า และทักทายเค้าด้วยความดีใจมาก ๆ เหมือนทุก ๆ วันที่เวลาตอนเย็นเค้าคอยรอทุกครั้งว่าเมื่อไหร่พี่อุ๊จะมาสักที   เพราะตอนที่เค้าไม่ได้ป่วยจะคอยฟังเสียงรถ เสียงปิดประตูรถ  พอได้ยินเท่านั้นแหละก็กรี๊ดดังลั่นบ้านไปหมด  พอเจอหน้าก็เรียกชื่อ  พี่อุ๊  รักมาก  รักมาก ๆ ทุกวัน   แต่ตอนนี้เค้าแสดงอาการทักทายได้แค่เพียงกรี๊ดดังมากเพียงหนึ่งครั้งเค้าก็นอนซุกผ้าอยู่ในอ้อมกอดของเราบ้าง  น้องสาวเราบ้าง  เวลานี้มีแต่เสียงร้องไห้  พร้อมน้ำตาและความอาลัยอย่างสุดซึ้ง  พร้อมทั้งเสียงสวดมนต์  เสียงแผ่เมตตา  เสียงภาวนาให้เค้ารอดให้เค้าปลอดภัยดังระงมไปหมด  เพราะด้วยความรักและความผูกพันที่เราทั้งครอบครัวมีให้แก่เค้า และเค้าก็มีให้แก่เราอย่างแน่นอนที่ทำให้ทั้งเค้าและพวกเรารักและผูกพันกันมากขนาดนี้   เราและน้องสาวได้แต่นั่งดูเค้าไม่ให้คลาดสายตาเลย  กลัวว่าเค้าจะเป็นอะไรไปไม่ทันได้ลากันก่อน   พอเค้ามีอาการชักมากขึ้น ๆ  อาการหายใจลำบากของเค้าก็ทำให้เค้าต้องหายใจทางปากบ้าง  แล้วก็หายใจรวยริน  และค่อย ๆ แผ่วเบาบางเป็นช่วง ๆ ไป  เราและน้อง  แม่และแฟนเราก็เค้ามาให้เค้าเห็นหน้าตลอด  ว่าทุกคนรักแอ๊ะแอ๋มาก ๆ ทุกคนอยู่กับน้อง  อยู่ใกล้ๆ  น้องนะ  สายตาเค้าเริ่มกลอกไปมาซ้ายขวา  แต่เค้าหน้าพวกเราทุกคนว่าอยู่ใกล้ ๆ เค้าจริง ๆ ไม่มีใครทิ้งเค้าไปไหนเลย  แค่นี้น้องคงดีใจมากที่สุดแล้วใช่มั๊ยน้องรักของพี่เอ๋และทุก ๆ คน  อาการชักของเค้าเริ่มจาก 1 ชม. ชัก  แล้วค่อยลดลงเป็น 45 นาที  30  นาที  20  นาที  และ  15  นาที    พวกเราจึงค่อย ๆ บอกเค้าว่าถ้าเค้าทนไหวจนถึง 6  โมงเย็น  เพื่อจะได้ไปพบคุณหมอที่ช่วยชีวิตน้องไว้  ก็ให้น้องอดทนไว้นะ  เพราะวันนี้คุณนัดฉีดยาอีกเป็นครั้งที่ 3  ตอน  6  โมงเย็น  แต่ถ้าน้องอยู่สู้ไม่ไหวแล้ว   มันทรมานมากแล้ว   ก็ขอให้น้องหลับและไปให้สบายนะลูกนะ  น้องจะไม่เหนื่อย  ไม่ทรมานอีกแล้ว  เราคอยหันไปมองนาฬิกาอยู่ตลอดว่าเค้าจะอยู่ถึง  5  โมงเย็นมั๊ย   ถ้าอยู่ถึงเราก็จะรีบพาเค้าไปรอคุณหมอที่คลินิกเลย   เวลา 16.20 น. แล้ว ปรากฏว่าเค้ายังอยู่  พวกเราเลยรีบจัดของขึ้นรถ  แล้วบอกน้องว่าไปหาคุณหมอกันนะลูกนะ   ไม่น่าเชื่อว่าน้องแอ๊ะแอ๋ทำตาโตแป๋วเลย  เหมือนดีใจที่ได้ไปหาคุณหมอ  และระหว่างการเดินทางน้องก็ไม่ชักเลย   ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาการเค้าก็ไม่ดีอยู่แล้ว    พอถึงคลีนิคคุณหมอก็รีบฉีดยาแก้ชัก พร้อมทั้งให้ดมยาและให้ออกซิเยนแก่น้องโดยทันที   ระหว่างที่น้องดมยาและให้ออกซิเยนอยู่น้องก็มีอาการชักเป็นพัก ๆ  แต่การหายใจของเค้าเริ่มดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น   จมูกและเท้าที่เริ่มซีดมากตอนมาถึงก็ค่อย ๆ ดีขึ้น    ระหว่างอยู่ในห้องกับน้องแอ๊ะแอ๋เราหันมองนาฬิกาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว  เป็นเวลา  18.40 น.  เราต้องป้อนยาน้องแล้ว  ก็รีบไปหยิบยามาป้อนน้องอีกครั้ง  น้องกินง่าย ไม่ปฏิเสธเลยสักนิด  เราก็บอกรักน้องว่า  รักน้องมาก ๆ นะ  น้องเก่งมาก ๆ  คำว่าเก่งมาก ๆ เป็นคำพูดที่มาจากเค้านั่นแหละ  เวลาเค้าทำพฤติกรรมอะไรก็ฉลาดและแสนรู้  เราก็มักจะถามเค้าว่า "ใครเก่ง" เค้าตอบว่า  " แอ๋  "   เราก็ถามต่อว่า  " แล้วน้องเก่งมากมั๊ย  " เค้าก็ตอบว่า  " เก่งมาก  เก่งมาก ๆ "  นี่แหละคือที่มาของคำว่า  " เก่งมาก ๆ  "    ซึ่งน้องแอ๊ะแอ๋เค้าก็เก่งมาก ๆ จริง ๆ  ที่อดทนต่อความเจ็บปวด และทรมานกับอาการที่เค้าเป็นมาได้นานขนาดนี้   ถือว่าทั้งเก่ง และอดทนมาก ๆ จริง ๆ    เวลา  19.10 น.  คุณหมออีกท่านที่ดูแล case ของน้องอยู่มาถึง   คุณหมอมาดูน้องน้องก็ชักให้คุณหมอดูทันทีเลย  เราและน้องสาวก็สอบถามคุณหมอถึงอาการชักของเค้าว่าเกิดจากอะไร  คุณหมอก็อธิบายว่า  เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วมีทั้งชนิดที่อยู่ในกระแสเลือด ซึ่งมียาที่สามารถเข้าไปยับยั้งเชื้อโรคตัวนั่นได้   แต่ถ้าเชื้อโรคเข้าสู่สมองเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้  ทำให้แค่เพียงการให้ยาระงับอาการชัก  เพราะอาการชักเกิดจากเชื้อโรคเข้าสู่สมองแล้ว   และอีกวิธีที่ต้องทำควบคู่กันคือ  การให้ยาบำรุงสมอง  เพื่อเข้าไปต้านเชื้อโรคนั้น ๆ ไม่ไห้แข็งแรงไปกว่าร่างกายที่เราเป็นอยู่ในสภาพปกติ  นี่คืออาการที่คุณหมอสันนิษฐานว่า  น้องแอ๊ะแอ๋  น่าจะได้รับเชื้อที่เค้าเป็นในปริมาณที่มาก หรืออยู่ในระดับที่ยาไม่สามารถควบคุมได้หมดทุกจุดโดยเฉพาะที่สมอง  ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้  แต่พอจะควบคุมได้ด้วยวิธีข้างต้น หลังจากที่คุณหมออธิบายให้เราและน้องสาวเข้าใจในกระบวนการแพร่เชื้อของเชื้อโรคแล้วนั้น   คุณหมอก็เริ่มฉีดยาแก้ชักให้น้องแอ๊ะแอ๋   พอฉีดยาเสร็จยาก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที  น้องแอ๊ะแอ๋ค่อย ๆ นิ่งไป  แต่หายใจอยู่  เหมือนสลบแต่ยังรู้สึกตัว แค่ไม่ดิ้นโวยวาย  เพราะคุณหมอกำลังจะให้น้ำเกลือแก่เค้า  ถ้าเค้าดิ้นก็จะเจาะเข็มให้น้ำเกลือไม่ได้   เวลา  19.25 น.  คุณหมอเริ่มให้น้ำเกลือแก่น้องแอ๊ะแอ๋ และบอกเรากับน้องว่า  เดี๋ยวจะให้น้ำเกลือกลับบ้านไปด้วย  พร้อมทั้งให้ยาแก่ชักด้วย  ให้คอยป้อนเค้าตามปริมาณที่กำหนด  แต่ถ้ามีการชักก็จะมีการเพิ่มความถี่ในการให้มาไปเรื่อยตามลำดับ  แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าเป็นยังไง  น้องจะดีขึ้นมั๊ย    พอคุณหมออธิบายเสร็จพวกเราก็สบายใจคิดว่าน้องน่าจะมีความหวังมากขึ้น  เวลา 19.30 น. เราพาแม่ไปทานข้าวร้านอาหารข้างๆ คลินิกนี่แหละ แต่น้องเราเค้าไม่ไปก็เลยนั่งเฝ้าน้องให้น้ำเกลืออยู่ เวลา 19.50 น.   เรากำลังนั่งกินข้าวอยู่กับแม่ในร้าน  และกินด้วยความรีบร้อน  เพราะเป็นห่วงน้องแอ๊ะแอ๋อย่างรีบกลับไปเฝ้าเค้าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  น้องเราบอกว่าให้รีบมาดูน้อง  น้องแอ๊ะแอ๋เค้าจะไปแล้ว  เรารีบวิ่งออกจากร้านไปที่คลีนิคซึ่งอยู่ถัดกัน 2-3 ห้อง พอเห็นสภาพน้องแอ๊ะแอ๋น้ำตาก็ไหลและร้องไห้ชนิดที่ว่าแทบขาดใจเลยทีเดียว  คุณหมอกำลังนวดหัวใจเค้า  เรารีบโทรบอกแม่ให้รีบมาดูใจน้องทันที  แม่ก็รีบวิ่งมา  เรารีบโทรหาแฟนเราเพราะเค้าก็รักน้องแอ๊ะแอ๋และดูแลเค้าอยู่ทุกวัน  น้องสาวเราเล่าว่าเค้าหายใจแรง และดังเฮือก ๆ  3  ครั้ง  แล้วก็อึออกมา  แล้วก็นิ่งไป  คุณหมอฉีดยากระตุ้นหัวใจ  นวดหัวใจ  แล้วเค้าก็กลับมาแบบรวยระรินเต็มที  คุณหมอบอกให้ทุกคนบอกลาน้องแอ๊ะแอ๋ซะเค้ากำลังจะไปแล้ว  เราและน้องสาวบอกลาน้องและจูบลาน้องเป็นครั้งสุดท้าย  เราเปิดลำโพงให้แฟนเราได้บอกลาน้องเป็นครั้งสุดท้าย  แม่ร้องไห้และบอกลาน้อง  และคนสุดท้ายก็คือคุณหมอที่รักและเป็นห่วงน้องคอยดูแลน้องและให้การรักษาน้องอย่างดีที่สุด  ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตเค้าไว้  ถึงแม้ด้วยเวลาที่รู้จักกันมันสั้นนิดเดียว  คุณหมอก็ยังรู้สึกรักน้องแอ๊ะแอ๋เลย   คุณหมอบอกลาน้องด้วยน้ำตาไม่ต่างไปจากพวกเราทุกคน  
เวลา 20.00 น.  หัวใจน้องหยุดเต้น  คุณหมอฟังหัวใจอีกครั้ง และน้องแอ๊ะแอ๋ น้องรักของพวกเราทุกคนก็จากไปอย่างสงบ และไม่มีวันกลับ  แต่เค้าดูเหมือนนอนหลับไปอย่างสบาย ไม่ทุกทรมานร่างกายอีกต่อไป  และคำที่ทุกคนพูดให้แก่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย ก็คือ  " ขอให้น้องแอ๊ะแอ๋  หลับให้สบายนะ  น้องไม่ต้องทรมานอีกแล้ว  หมดเวรหมดกรรมกันซะที  น้องน่ารักมาก ๆ  น้องเข้มแข็งมาก ๆ    น้องอดทนมาก ๆ  และน้องเก่งมาก ๆ  เก่งมากจริง ๆ  ขอให้น้องไปสู่สุคตินะลูกนะ... หวังว่าความรักและความผูกพันที่พวกเรามีให้แก่น้อง  จงดลบันดาลให้น้องได้กลับมาเจอ และมาอยู่กับครอบครัวของพวกเรา   มาสร้างความรัก   สร้างความสุข   สร้างความสนุก และสร้างความผูกพันดี ๆ   เหมือนที่น้องได้ทำไว้กับพวกเราทุกคนในชาตินี้อีกนะ       พวกเราทุกคนจะรอน้องนะ  " น้องแอ๊ะแอ๋ " ทุกคนรักน้องมาก ๆ  รักน้องที่สุดเลย....ลาก่อนนะน้องรัก "
วันที่ 6  ตุลาคม 2552  วันนี้เป็นวันเกิดพี่อุ๊  พวกเราทุกคนตั้งใจจะใส่บาตรเพื่อทำบุญวันเกิด  แต่กลับกลายเป็นว่าต้องใส่บาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น้องแอ๊ะแอ๋ด้วย  พวกเราทุกคนตื้นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวใส่บาตร และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะไม่มีน้องอยู่ด้วยแล้ว  น้องจากเราไปเร็วมาก   เร็วเกินกว่าที่จะทำใจได้เลย  เหงามากเลย  ใจหายมาก   เพราะมองไปทางไหนก็คิดถึง  นึกถึงน้องตลอดเวลา  ที่ที่น้องเคยเล่น  เคยกิน  เคยนอน  เคยไปเกาะแล้วร้องเรียกพวกเรา  วันนี้มองไปกลับว่างเปล่าไม่มีเสียงน้องร้องเรียก  ไม่มีเสียงน้องบินไปมา  ไม่มีน้องมาเกาะที่แขนให้พาไปอาบน้ำ  ไม่มีน้องมาเกาะที่ไหล่เพื่อเวลาเราไปไหนเคาขอไปด้วย  ไม่มีน้องมายืนบนหัวคอยเล่นที่ติดผม   ไม่มีน้องให้พวกเรากอด   ไม่มีน้องให้พวกเราได้จุ๊บ และบอกรักอีกต่อไปแล้ว   วันนี้น้ำตาร่วงไม่รู้ก็รอบแล้วที่นึกถึงน้อง และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่วันไม่รู้  เพราะพวกเราทุกคนคิดถึงน้องมาก ๆ   แต่พวกเราทุกคนมีอะไรบ้างอย่างที่อยากจะบอกน้อง  น้องจงฟังและรับรู้ไว้นะ  แม้ว่าวันนี้น้องจะไม่มีตัวตนให้พวกเราได้เห็น  ได้สัมผัสน้องอีกแล้ว พวกเราทุกคนจะคงยังรักน้องต่อไป  รักน้องมากขึ้นทุกวัน และรักน้องมากจริง ๆ  น้องจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป  และวันนั้นวันที่น้องกลับมาหา  กลับมาอยู่กลับพวกเรา  คงเป็นวันที่พวกเราทุกคนมีความสุขมาก ๆ  พวกเราจะรอน้องนะ  "น้องแอ๊ะแอ๋ "  
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแอ๊ะแอ๋ครั้งนี้ ขอให้เป็นอุทาหรณ์และเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์ทุกคน  เพื่อเป็นการเตือนให้ทุกคนได้ระวังในการดูแลเค้าให้มาก ๆ และการคัดเลือกนกมาเลี้ยงด้วยว่าเค้ามีความสมบูรณ์ทางร่างกายมากน้อยเพียงใด  แม้เราไม่สามารถดูรายละเอียดภายในร่างกายเค้าได้  แต่เราต้องสามารถดูเค้าได้จากลักษณะบ่งบอกความปกติ หรือไม่ปกติของเค้าได้ หากคุณถ้าคิดจะเลี้ยงนกพันธุ์อะไรก็ตาม หรือสัตว์อะไรก็ตามมาเลี้ยง  ควรจะทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้นมาบ้าง  เพื่อง่ายต่อการเลือกซื้อสัตว์ที่สมบูรณ์แข็งแรง  ไม่มีโรคประจำตัว  หรือโรคติดต่อร้ายแรงมาแพร่เชื้อต่อสัตว์ชนิดเดียวกัน และสัตว์อื่น ๆ ได้     หวังว่าความรู้ที่มอบให้นี้จะส่งผลให้น้องแอ๊ะแอ๋ได้รับผลบุญที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือนกตัวอื่น ๆ  ที่มีอาการแบบนี้ หรือมีอาการที่ใกล้เคียงแบบนี้  ขอให้เค้าได้เป็นส่วนหนึ่งที่มีโอกาสทำประโยชน์แก่นก และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ บ้าง  ถึงแม้วันนี้เค้าจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้วก็ตาม  จงช่วยเหลือเค้าก่อนที่อาการต่าง ๆ จะลุกลาม และรุนแรงมากจนสายเกินไปอย่างที่น้องแอ๊ะแอ๋เป็น  ขอให้วิญญาณน้องแอ๊ะแอ๋น้องรักของพวกเราทุกๆ คนไปสู่สุคติ  น้องคงหมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูกชาตินี้น้องเกิดมาทำให้ทุกคนได้มีความสุข    และทุกคนได้ให้ความรักแก่น้องมาก ถึงมากที่สุด    เหมือนน้องเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเราทุกคน เท่านี้ก็ถือว่าน้องได้ทำบุญกับพวกเรามากแล้วที่ทำให้พวกเราได้มีความสุขตลอดระยะเวลาที่น้องอยู่กับพวกเรา  ขอบคุณน้องแอ๊ะแอ๋มาก ๆ นะลูก  รักน้องที่สุด และคิดถึงน้องที่สุดเลย....หลับให้สบายนะลูก...
สุดท้ายนี้  ขอขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยชีวิตเค้าขณะที่เค้าอยู่ในภาวะที่แย่และวิกฤตเต็มที  ช่วยให้เค้ากลับมา  กลับมาทำให้ทุกคนมีความสุขถึงแม้จะเป็นวันเดียว คือวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.52  เพราะวันนี้เค้าดูอาการดีขึ้นมากแล้ว  ขอบคุ

tÒ“p


aey

ขอบคุณมากนะคะที่อ่านเรื่องของน้องแอ๊ะแอ๋  คิดว่าบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เลี้ยงนกพันธุ์นี้ได้บ้าง  ขอบคุณจากใจจริงที่อวยพรให้น้องหลับให้สบาย[/font]

"จิ" พัทยา

ขอแสดงความเสียใจด้วยค่ะ  อ่านแล้ว ร้องไห้ตามด้วยเลยค่ะ

แต่ถ้าหาก น้องเขาเป็น BPFD จริง เจ้าของ ควรจะต้องทำความสะอาด ฆ่าเชื้อ บริเวณที่น้องเขาอยู่อาศัย ด้วยนะคะ แล้ว ก่อนจะนำนกใหม่เข้ามาเลี้ยง ทิ้งระยะเวลาเอาให้ชัวร์เลย ซัก 1 ปีค่ะ   เพราะไม่อย่างนั้น น้องนกที่เข้ามาใหม่ จะ ติดเชื้อตัวนี้ได้อีกนะคะ

เป็นกำลังใจให้ค่ะ

Samy9

เสียใจด้วยค่ะ

เข้าใจความรู้สึกของน้องเอ๋  การสูญเสียและการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก มันไม่มีคำบรรยายให้เข้าใจได้  น้องเค้าไปสบายแล้ว ไม่เจ็บไม่ปวด ชีวิตก็เป็นแบบนี้เอง

 


[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

aey

ขอบคุณมากๆเลยนะคะที่เข้าใจหัวอกของการสูญเสีย ทุกวันนี้ผ่านไปแค่ 3 วันที่น้องจากไป ก็ยังทำใจไม่ได้อยู่ดี คิดถึงน้องทุกวัน

jack

อ้างถึงaey เป็นผู้เขียน:
อาลัยน้องแอ๊ะแอ๋..นกน้อยผู้เป็นรักของทุกคน
   เมื่อวาน  วันศุกร์ที่  2 ต.ค. 52  น้องตื่นตอนเช้ามาเข้าห้องน้ำและอึ๊ในชักโครกเหมือนปกติทุกวัน  กินน้ำ  กินอาหารปกติ  แต่พอประมาณ  9.30 น.  น้องเกาะไหล่เราอยู่แล้วก็อาเจียนออกมาเป็นน้ำและเหนียว  เค้าไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน  เรายังนึกว่าเค้ากินน้ำเยอะไปแล้วสำรอกออกมาหรือเปล่า  พอสักพักเค้าก็กินน้ำ  กินข้าวโพด  เค้าก็สำรอกออกมาอีก  อุจจาระของเค้าตอนนี้เป็นน้ำใสปนสีขาว  เวลาประมาณ 13.10 น. เราเห็นเค้ารู้สึกเพลียมากจึงพาเค้าไปนอนบนเตียงกับเรา  เค้านอนหลับซุกอยู่บนอกเรา  ตื่นมาอีกทีประมาณ 14.45 น.  ก็พาเค้าไปอึ๊ในห้องน้ำเราเห็นอึ๊เค้าสีไม่เขียวเหมือนเดิม กลับเห็นเป็นสีออกน้ำตาล ปนสีเนื้อคล้ายเลือดเราก็ไม่ค่อยสบายใจแล้ว  คิดว่าเค้าคงอาการไม่ดีแน่ ๆ   จากนั้นเค้าก็บินขึ้นไปเกาะบนราวผ้าม่านที่เดิมที่เคยยืนเล่นประจำ  เราก็เลยเอากระดาษสีขาวไปรองไว้ที่พื้นเผื่อเค้าจะอึ๊ลงมาจะได้เห็นว่าเป็นสีอะไร        ปรากฏว่าเค้าอึ๊ลงมาเป็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ   เราก็เอาทิชชู่เช็ดแล้วลองดมกลิ่นดูมันคือเลือดจริง ๆ  พอเค้าถ่ายเป็นเลือด 2 – 3 ครั้ง  เราก็รีบพาเค้าไปที่โรงพยาบาลสัตว์มหิดล  แต่พอไปถึงคุณหมอที่รักษาเรื่องนกโดยเฉพาะออกเวรไปแล้ว   แต่คุณหมอท่านอื่นบอกว่าคุณหมอท่านนี้เปิดคลินิกอยู่ประชาชื่น  เรากับน้องจึงรีบพาเค้าไปโดยเร็ว  แต่รถติดมาก ๆ  เราเดินทางออกจากมหิดล  17.30 น.  ไปถึงประชาชื่นก็ประมาณ  19.30 น.  กว่าจะได้พบคุณหมอก็ประมาณ  8.30 น.  แล้ว  เพราะคนเยอะมาก   พอถึงมือหมอเราก็สบายใจเพราะคิดว่าน่าจะรู้สาเหตุ และแก้ไขได้ทัน   คุณหมอถามคำแรกเลยว่าเลี้ยงเค้าแบบปล่อย หรือว่าใส่กรงไว้   เราก็ตอบไปว่าปล่อยให้เค้าเล่นอยู่ในบ้าน ซึ่งก็คงจะเหมือนกับทุก ๆ คนที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์ มักจะปล่อยให้เค้าเล่นในบ้าน เพราะเค้าชอบตามเจ้าของมาก ๆ เกาะหัว เกาะไหล่  ก็คงจะอดใจไม่ไหวที่จะไม่ปล่อยเค้าออกมาอย่างแน่นอน  คุณหมอสันนิษฐานว่าเค้าน่าจะไปกัดเอาของประเภทที่มีส่วนประกอบของโละหนัก  ประเภทสารตะกั่ว สารปรอท สังกะสี  หรือโลหะต่าง ๆ  รวมถึงพลาสติกทั่วไป  และพลาสติกที่หุ้มเหล็กไว้อย่างเช่นไม้แขวนเสื้อก็เป็นได้   เหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้  ทำให้เราได้มาฉุดคิดว่า  เค้าชอบกัด และแทะสิ่งของต่าง ๆ  มากมาย  รวมถึงไม้แขวนเสื้อก็ใช่      ถ้าคนที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์น่าจะรู้ดีว่ามันชอบกัดทุกอย่าง   แต่ด้วยความที่เราคิดว่าเค้าแค่กัดเล่น  ไม่ได้กินเข้าไป  ก็ไม่น่าจะเป็นอะไรนี่   แต่ทุกคนทราบไหมว่า  สิ่งต่าง ๆ ที่เค้ากัดแทะนั้นมีทั้งสารเคมี  สารพิษ  สารอันตรายต่าง ๆ ปนเปื้อนอยู่มากมาย  เพียงแค่เค้าเอาลิ้นสัมผัสมันก็ซึมซับเข้าสู่ร่างกายของเค้าแล้ว  แต่นกอาจจะยังไม่แสดงอาการใด ๆ จนกระทั่งเค้าได้รับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  และมีการสะสมไว้จากของเก่า  จึงเกิดอาการอย่างที่เห็นนี่แหละ  คุณหมอบอกว่านกที่ได้รับพิษแบบสะสมจะไม่แสดงอาการใด  เพราะสัญชาติญาณของสัตว์เมื่อเค้าอยู่เป็นฝูงถ้าสัตว์ตัวใดแสดงอาการอ่อนแอก็มักจะถูกล่าทันที   เพราะฉะนั้นนกที่พวกเราเลี้ยงมันจึงไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เกี่ยวกับอาการของเค้าเลย  จนกระทั่งเค้าทนไม่ไหว  ร่างกายรับไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  จึงมีอาการอาเจียน และถ่ายเป็นเลือดอย่างน้องแอ๊ะแอ๋ของเรานี่ไง   คุณหมอป้อนยาฆ่าเชื้อ และยาบำรุงให้ก่อน 1 มื้อ  และสั่งยาให้เราไปป้อนต่อในวันรุ่งขึ้น  พร้อมทั้งให้นำเกลือแร่ใส่น้ำให้เค้ากินด้วย   เรากับน้องก็ถามคุณหมอตรง ๆ เลยว่า  อาการแบบนี้เค้ามีโอกาสเสียชีวิตมากมั๊ย   คุณหมอท่านก็ตอบตรง ๆ เลยว่า "ไม่มี"  เท่านั้นแหละเราก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว  ทั้งที่เราร้องไห้ตั้งแต่บ่าย 3 โมง  จนกระทั่งมาที่โรงพยาลบาลนี้  เพราะเราเห็นอาการเค้าก็น่าตกใจและสลดหดหู่เติมทีแล้ว  และหวังเพียงว่าถ้าได้พบคุณหมออาจจะช่วยชีวิตเค้าไว้ได้  แต่อาการของเค้าเป็นค่อนข้างหนักแล้ว  แต่ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเค้ามีความอดทนมาก ๆ เค้าพยายามที่จะกินน้ำเมื่อเค้ารู้สึกหิว ยืนเกาะคอนไว้แน่นไม่มีอาการโซเซแต่อย่างได้  ซึ่งทำให้เรามีกำลังใจที่จะดูแลเค้าให้เต็มที่เพื่อเค้าจะมีชีวิตรอดอยู่กับเราต่อไป  คุณหมอนัดมาดูอาการอีกครั้งวันอาทิตย์ ที่ 4  ต.ค. 52  เราได้แต่หวังว่าเค้าจะหายแล้วมาพบคุณหมอด้วยอาการร่าเริงในวันอาทิตย์นี้   หลังจากหาหมอเสร็จกลับถึงบ้านก็ให้เค้าเข้านอนในที่นอนของเค้าบนโต๊ะ ห่มผ้าให้เค้าก่อนนอนเหมือนเช่นเคย  เค้าก็นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ  เราคอยลุกมาดูเค้าตลอดนอนไม่หลับเลย  คิดเพียงว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นแค่ความฝันเท่านั้น แต่มันกลับเป็นเรื่องจริงที่เรายังทำใจรับมันไม่ได้เลย เวลาประมาณ ตี 2  เราได้ยินเสียงเหมือนเค้าตื่น แล้วเค้าก็มาเกาะแขนเราเพื่อเข้าไปกินน้ำในกรง  หลังจากนั้นเค้าก็ยืนหลับ ๆ ตื่น ๆ อยู่บนคอนของเค้าจนถึงเช้า  
วันเสาร์ ที่ 3 ต.ค. 52  พอตอนเช้าเราเดินจะไปห้องน้ำเค้าตื่นนอนมา แล้วก็เรียกชื่อเราเหมือนที่เค้าเรียกทุกเช้า แต่คราวนี้เค้าเรียกเพราะเค้าอยากให้เราอยู่ใกล้ ๆ เค้า  ไม่อยากให้เราเดินไปไหนเลย  เราได้แต่นั่งร้องไห้อยู่หน้ากรงเค้า เพราะเค้าก็ยังถ่ายเป็นเลือดอยู่เลย  เราคิดว่าเค้าน่าอยู่กับเราได้อีกไม่กี่ชั่วโมงแล้ว  เพราะถ้าเค้ายังถ่ายเป็นเลือดอยู่แบบนี้เลือดเค้าก็ต้องหมดตัวแน่ ๆ  ตอนนี้เราอยากให้ถึง 10.00 น. เร็ว ๆ  เพื่อจะได้ป้อนยาให้เค้าเป็นมื้อที่ 2  เผื่อจะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดและทรมานของเค้าให้เร็วขึ้น  หลังจากป้อนยาเค้าก็เพลียยืนหลับๆ ตื่นๆ เหมือนเคย  แต่ก็ยังถ่ายเป็นเลือดอยู่  ตอนนี้ก็ได้แต่รอเวลาว่าเค้าจะอยู่กับเราได้ถึงคืนนี้มั๊ย.....เสียใจที่สุดที่เค้ากำลังจะจากไป....แต่ก็ดีใจที่ได้รักเค้า พวกเราทุกคนสัญญาว่าจะดูแลเค้าไปตลอดจนกว่า จะถึงวาระสุดท้ายอย่างดีที่สุดตอนนี้เวลา14.16 น.
วันเสาร์ที่  3 ต.ค. 52  ช่วงเย็นประมาณ 17.30 น.  เราและน้องทนเห็นสภาพที่เค้าถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลา
ไม่ไหวแล้วเหมือนนั่งรอเวลาว่าเค้าจะไปจากเราเมื่อไหร่ซึ่งเราก็ทำใจไม่ได้  จึงตัดสินใจโทรไปถามที่โรงพยาบาลมหิดลเรื่องการใช้วิตามิน k เพื่อการห้ามเลือดที่เค้าถ่ายออกมาไม่หยุดเลยว่าจะสามารถทำได้มั๊ย    ทาง รพ.จึงแนะนำให้เราไปที่  "ราชพฤกษ์สัตวแพทย์ " คลินิกรักษาสัตว์ อยู่ติดกับ Home Pro พระราม 5 เค้าให้เบอร์โทรศัพท์มา 02-422-2265  เพราะที่นี่มีคุณหมอที่เก่งเรื่อง Exotic-pet  เราจึงเดินทางพาเค้าไปพบคุณหมอโดยเร็ว  เพราะเราคิดว่าการที่เราพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางให้เค้าหายจากการทรมานครั้งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยชีวิตเค้าไว้ได้หรือไม่ก็ตาม  เราก็จะทำและทำให้ดีที่สุดเพื่อเค้าเป็นครั้งสุดท้าย   พอถึงคลินิกคุณหมอก็เห็นว่าเค้าถ่ายเป็นเลือดแต่คุณหมอไม่แสดงอาการตกใจหรือทำให้เรารู้สึกใจเสียแต่อย่างใด    คุณหมอหยิบตำราเกี่ยวเรื่องนกต่าง ๆ มากมายมาให้เราได้อ่าน ให้ดูรูปภาพพร้อมทั้งอธิบายโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดกับนกให้เราได้ทำความเข้าใจที่มาที่ไปของอาการแทรกซ้อนจนทำให้เค้าต้องอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดให้เราฟังจนเข้าใจ  (คุณหมอท่านเก่งและมีความเชี่ยวชาญในการศึกษาเรื่องโรคต่าง ๆ เป็นอย่างดี)  ตามที่คุณหมออธิบายให้ฟังเราพอจับต้นชนปลายได้ว่า  น้องแอ๊ะแอ๋น่าจะมีเชื้อไวรัส  PBFD (Psittacine beak and Feather disease)  หรือ โรคไวรัสปากและขนในนกแก้ว   สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส คือ Diminuvirus ซึ่งเป็นไวรัสชนิดใหม่อยู่ในกลุ่ม Microvirus สามารถติดต่อได้ง่ายและรวดเร็วผ่านทาง fecal-oral route  อาการ :  ความผิดปกติของจงอยปาก และเล็บ คือ งอกยาวเร็วกว่าปกติ  มีรอยร้าว เปราะ แตกง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปาก  ผิวมันกว่าเดิม  จงอยปากที่หัก หรือเล็บอาจเกิดลักษณะแผลเรื้อรังจนถึงเนื้อตาย  ปากบนและล่างบิดเบี้ยวสบกันไม่สนิท  ความผิดปกติของขน คือ  ขนหลุดร่วงบริเวณลำตัว หัว และปีกอย่างรวดเร็ว  ขนใหม่เกิดขึ้นมายังไม่ทันจะสมบูรณ์เต็มเส้นก็หลุดร่วงออกไปโดยมีลักษณะคอดตรงโคนหรือ บิดเบี้ยว  ขนอ่อนขึ้นประปรายโดยทั่วไป  ในระยะท้าย ๆ มักไม่มีขนเหลือ  การรักษา : ยังไม่สามารถรักษาให้หายได้ นกที่ป่วยด้วย PBFD จะตายโดยโรคแทรกซ้อนภายใน 2 ถึง 4 ปี การรักษาจึงเป็นเพียงป้องกันโรคแทรกและสร้างความแข็งแรงแก่นกเช่นให้ยาปฏิชีวนะ วิตามินและฮอร์โมนช่วยเป็นระยะ ๆ  คำแนะนำ : ทำการฆ่าเชื้อกรงและสถานที่ใกล้เคียง ซึ่งนกป่วยอาศัยอยู่ โดยการล้าง ขัดถู และฟอกด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค  หากมีการเกิด PBFD ของนกที่เป็นพ่อแม่พันธุ์ให้ยุติการขยายพันธุ์ อย่างน้อย 2 ปี ถึง 3 ปี และกำจัดตัวที่ป่วยออกไปจากโปรแกรมการขยายพันธุ์  แยกนกป่วยไปให้ห่างไกลจากนกปกติ และมีการป้องกันการแพร่กระจายของโรคนี้อย่างเข้มงวด   สำหรับเชื้อไวรัส  PBFD ยังรักษาไม่หาย
ทั้งหมดที่เล่ามานี้  เราได้รับฟังการอธิบายมาจากคุณหมอ พร้อมทั้งดูจากตำราที่คุณหมอนำมาให้อ่านด้วย จึงพอสรุปได้ว่า  ในตัวน้องแอ๊ะแอ๋เค้ามีเชื้อไวรัส PBFD อยู่  เมื่อไหร่ที่น้องเครียด ร่างกายอ่อนแอ ไม่มีภูมิต้านทาน  ก็จะมีโรคแทรกซ้อนมากมายหลายโรคเข้ามาทำลายภูมิคุ้มกันในร่างกายของน้องทันที   สำหรับน้องแอ๊ะแอ๋คุณหมอนำอุจจาระไปตรวจดูเพื่อจะได้ทราบว่าน้องได้รับเชื้ออะไร  จึงทำให้น้องอาเจียนและถ่ายเป็นเลือดแบบนี้  แต่ปรากฏว่าคุณหมอตรวจแล้วไม่พบ  กรณีนี้คุณหมอบอกว่าอาจเกิดขึ้น 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 ยาฆ่าเชื้อที่ได้รับจากโรงพยาบาลแรกที่ไปหานั้น  ให้น้องกินมาแล้ว 2 มื้อ  ยาอาจจะฆ่าเชื้อไปแล้ว  หรือ  กรณีที่ 2  เชื้อได้เข้าไปลึก หรือไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่งในร่างกายน้อง  ทำให้หาเชื้อไม่เจอก็ได้    แต่สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นกรณีที่ 2 มากกว่า  เพราะถ้าเป็นแบบกรณีแรกหลังจากให้ยามาแล้ว 2 มื้อ  ทำให้น้องถึงยังถ่ายเป็นเลือดอยู่  แถมยังมากขึ้นทั้งสีเข้ม และข้นขึ้น  ปริมาณมากขึ้น  ระยะเวลาถ่ายถี่ขึ้น  ไม่เห็นอาการจะดีขึ้นตรงไหน  มีแต่แย่ลงมากกว่า  คุณหมอเลยฉีดยาฆ่าเชื้อ โดยคาดว่าน่าจะเป็นเชื้อโปรโตซัว  ที่ทำให้น้องแอ๊ะแอ๋มีอาการแบบนี้
เวลา 19.30 น.  คุณหมอฉีดยาให้น้อง 2 เข็ม และให้ยามาป้อนน้องด้วย  คุณหมอบอกว่ายาฆ่าเชื้อที่ฉีดไปจะออกฤทธิ์ ภายใน 6 ชม.  พอกลับมาถึงบ้านเราก็นั่งสังเกตการณ์ถ่ายของน้องว่าเป็นสีอะไร หลังจากฉีดยาได้ประมาณ 2 ชม. สีของอุจจาระ ก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดง  สีน้ำตาลเข้ม  และเป็นสีเขียว  ตามลำดับ  แสดงว่าคุณหมอมาถูกทางแล้ว  น้องน่าจะได้รับเชื้อโปรโตซัวจริง  เพราะหลังจากได้รับยาน้องมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  พวกเราทุกคนดีใจมากที่น้องแอ๊ะแอ๋หยุดถ่ายเป็นเลือดแล้ว  เราคอยมองคอยดูเค้าเกือบตลอดทั้งคืน  และเป็นแบบนี้มา 2 คืนแล้ว  พอถึงเช้าวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.52  น้องแอ๊ะแอ๋ลืมตาแป๋วเลย  ผิดกับเมื่อวานที่ตาสะลึมสะลือคอยแต่จะหลับตาอยู่อย่างเดียว  วันนี้น้องดีขึ้นมาก ๆ ทุกคนดีใจ  เค้าเรียกชื่อเราว่า "พี่เอ๋ " เหมือนที่เค้าเคยเรียก  เค้าส่งเสียงกรี๊ดเมื่อเห็นคนเดินเข้ามาเหมือนที่เค้าทำเป็นประจำ    อาการภายนอกของน้องดูน่าจะสบายดี   และดูปลอดภัยทุกอย่าง  ถึงแม้โอกาสปลอดภัยของน้องอาจจะมีเพียงแค่ 1% จนถึง 50%  แต่ไม่ถึง 100% ก็ตาม  แต่ก็ยังดีกว่าวันก่อน ๆ ที่ถ่ายเป็นเลือดตลอดเวลาแน่นอน  วันนี้น้องทำให้เรากินข้าวได้ซะที  หลังจากที่ไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เย็นวันศุกร์ที่น้องเกิดเรื่องนั่นแหละ   ตอนเย็นคุณหมอนัดน้องมาฉีดยาอีกครั้ง  เวลา 19.00 น.  เพื่อจะได้เวลาใกล้เคียงกับการฉีดยาให้ในวันแรก   พอถึงเวลานัดเรากับน้องสาวและน้องแอ๊ะแอ๋ก็เดินทางไปหาหมอกัน  พอไปถึงคุณหมอยังมาไม่ถึงเราก็นั่งรอสักพัก  พี่ผู้ช่วยที่อยู่ที่โรงพยาบาล  พอเค้าเห็นว่าน้องแอ๊ะแอ๋มา และมาด้วยอาการที่ดีขึ้นมาก  เค้าก็ดีใจมานั่งคุยกับน้อง  น้องก็พยักหน้าไปมาเป็นการตอบรับด้วย   พอคุณหมอแอนและคุณหมอตุ้มมาถึงเห็นน้องแอ๊ะแอ๋มาก็ดีใจที่เค้าหายจากอาการถ่ายเป็นเลือดแล้ว  แถมยังแซวด้วยว่าวันนี้เจ้าของก็อาการดีกว่าเมื่อวานเยอะเลย   คุณหมอพาน้องไปฉีดยาเหมือนเมื่อวาน  เราก็เล่าอาการแปลก ๆ ที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้คุณหมอฟังว่าเวลาเค้ายืนนอนหลับอยู่บนคอน  ทำไมเค้าก้มหัวลงมาเยอะจัง  เค้าเป็นอะไรหรือเปล่า  คุณหมอบอกว่าน่าจะเป็นเกี่ยวกับการหายใจของเค้า   อาจจะเกิดจากการสำลักอาหารของเค้าในวันที่เค้าอาเจียน  อาหารไม่ย่อย  กระเพาะพักอาหารไม่ทำงาน  แล้วอาหารนั้นก็สำลักลงปอดไปก็เป็นได้  เราได้ฟังก็เริ่มไม่ค่อยสบายใจ เพราะเค้าก้มคอลงมาเยอะมากดูไม่ค่อยดีเลย  แต่อาการอย่างดูภายนอกดีหมด  นอกเสียจากว่าเค้าเก็บอาการสาหัสและรุนแรงไว้เท่าที่เค้าจะทนได้ก็ไม่รู้   เรากับน้องสาว และน้องแอ๊ะแอ๋ขอบคุณคุณหมอที่ช่วยรักษาและช่วยชีวิตเค้า  ส่วนคุณหมอก็พูดกลับมาว่าแบบนี้ไม่ได้เรียกว่าช่วยชีวิตเท่านั้น  แต่เป็นการกู้ชีวิตน้องแอ๊ะแอ๋ต่างหาก  พอกลับถึงบ้านเราเตรียมอาหารเตรียมยาเพื่อจะป้อนให้เค้า  พอดีน้องสาวเราโทรเข้ามา น้องแอ๊ะแอ๋ก็เรียกชื่อน้องเราว่า  " พี่อุ๊ "  น้องสาวเราดีใจมากที่เค้ายังจำได้และยังมีแรงที่จะเรียกชื่ออยู่    หลังจากนั้นเราป้อนอาการและยาน้องก็ยืนนอนหลับบนคอนก้มหน้าลงมากเหมือนเดิม  เราก็เริ่มไม่สบายใจมากขึ้นเพราะสงสัยในอาการและโรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่พยายามประเดประดังเข้ามาในทุก ๆ นาทีสำหรับผู้ที่อ่อนแอจริง ๆ   คืนนั้นเรานอนไม่หลับนั่ง  Search Internet โรคต่าง ๆ  ข้อมูลต่าง ๆ  ที่เกี่ยวกับอาการป่วยของนก และเรื่องอาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้กับเค้า  อ่านเสียจนเครียดเพราะแต่ละคนที่เล่าประสบการณ์  พร้อมทั้งเอกสารทางวิชาการที่เราได้อ่านนั้น  สุดท้ายเค้าก็ต้องจากเราไปอยู่ดี  ด้วยอาการที่เกิดขึ้นหลาย ๆ แบบ  มีทั้งหนัก และเบา หรือเฉียบพลับไปเลยก็มี   ประมาณ ตี 2  เราแอบดูน้องแอ๊ะแอ๋อีกครั้งว่าเค้าเป็นยังไงบ้าง  เห็นเค้าหลับดีไม่เป็นอะไรก็สบายใจแล้ว  เราเอาผ้ามาคลุมกรงเข้าไว้หลาย ๆ ชั้น  เอาถุงเจลร้อนวางไว้ที่ไต้ผ้าให้เค้านอน ไม่เปิดแอร์  เพราะน้องแอ๊ะแอ๋ป่วยอยู่ต้องการความอบอุ่นของร่างกายมากที่สุด คืนนี้ก็เป็นอีก 1 คืน ที่เรานอนแต่ไม่ค่อยหลับเพราะกังวลเรื่องอาการป่วยของเค้า  เราคอยลุกมาเปิดผ้าคลุมกรงแอบบดูเค้าเพื่อจะได้คอยสังเกตถึงความผิดปกติของเค้าหลังจากผ่านอาการป่วยที่เรียกได้ว่า "ขั้นโคม่ามาก ๆ"  มาแล้ว
วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม 2552  ตอนเช้าเราตื่นมารีบลุกขึ้นมาดูน้องก่อนเป็นอันดับแรก  ว่าเค้ายังอยู่ดีมั๊ย  สบายดีมั๊ย  มีอาการอะไรผิดปกติอะไรหรือเปล่า  พอเปิดผ้าที่คลุมกรงแอบดูเค้า  เค้าก็ลืมตามองมาที่เราแล้วเค้าก็ผงกหัวทักเราทันที  แต่ถ้าปกติตอนที่เค้าสบายดีไม่ได้เป็นอะไร  เค้าจะเรียกชื่อเราทันที  "พี่เอ๋  พี่เอ๋...."  พอเค้าตื่นได้สักพัก  เวลา 8.00 น. ก็ได้เวลาป้อนอาหารและป้อนยาเค้าแล้ว  เราเห็นเค้าขย่อนอาหารออกมานิดหนึ่งก็เลยนำมาดูก็เป็นอาหารที่เค้ากินไปเมื่อวาน  อาจจะย่อยไม่หมดก็ได้    จากนั้นเราก็จุบเค้ามาป้อนอาหาร  ป้อนยา  เค้าไม่ดื้อเลย  ยอมกินทั้งอาหาร  ยอมกินทั้งยา  เพราะเราเชื่อว่าจิตใจเค้าเข็มแข็งมาก  เค้าก็คงอยากจะหายจากอาการป่วยเหมือนกัน  ป้อนอาหารไปพลางก็พูดอธิบายบอกเหตุผลที่ต้องกินอาหารให้เค้าฟังว่า ถ้าน้องไม่กินอาหารกระเพาะน้องก็ไม่มีอาหารให้ย่อย  มันก็จะไปย่อยอย่างอื่นแทนก็ได้นะ   เวลาป้อนยาก็เหมือนกันก็อธิบายไปพลางป้อนไปพลางว่าถ้าน้องอยากหายเร็ว ๆ อยากมาเล่นกับพี่เอ๋เร็วน้องต้องกินยานะจะได้หายไม่สบายไง  น้องแอ๊ะแอ๋เค้าก็ยอมกินแต่โดยดีไม่ขัดขืนเลย   น้องน่ารักมาก ๆ  น่ารักที่สุดเลย พี่เอ๋รักน้องมากๆ  แล้วก็หอมหัวเค้าเบา ๆ   เราพูดกับเค้าเมื่อป้อนยาเสร็จ    ซึ่งคำพูดพวกนี้เป็นคำพูดที่เราพูดอยู่กับเค้าเป็นประจำ  และหอมหัวเค้า  จุ๊บปากเค้า  แล้วก็บอกรักเค้าเป็นประจำทุกวัน  และตลอดเวลาด้วยซ้ำไป    เวลา 09.10 น. หลังจากเค้ากินอาหารและกินยาเสร็จสักพักเค้าก็ยืนหลับอยู่บนคอน  คอเค้าไม่ก้มลงมาแล้วเราก็ดีใจ   แต่คอเค้ากลับหงายคอขึ้น พร้อมหมุนคอไปเกือบจะ 360 องศาแล้ว แล้วก็มีอาการกระตุกเล็กน้อย  เราเห็นแบบนี้ก็ตกใจมาก  แล้วก็เริ่มรู้ในทันทีว่านี่คือการเริ่มต้นของอาการชัก  เพราะพอเค้าเริ่มป่วยเราก็เริ่มศึกษา  ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมจากคุณหมอที่รักษาน้องบ้าง  จาก Internet  บ้าง   ทำให้เราแน่ใจว่านี่คืออาการชักแน่นอน   เราจึงรีบอุ้มเค้ามาห่อผ้าหนา ๆ พร้อมทั้งกอดเค้าไว้เพื่อให้เค้ารู้สึกอบอุ่น  และหอมหัวเค้าเบา ๆ แล้วก็บอกรักเค้าว่า  แอ๊ะแอ๋  พี่เอ๋รักน้องมาก ๆ นะ  น้องสวยมาก ๆ น้องเก่งมาก ๆ  พร้อมทั้งน้ำตาที่เริ่มไหลออกมาไม่หยุด  เพราะนี่คืออาการที่บ่งบอกว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับเค้าแล้ว  เรารีบโทรบอกแม่  โทรบอกน้องให้รีบมาดูใจเค้าหน่อยเพราะเค้ารอทุกคนที่เค้ารักจริงๆ  เค้ามีอาการชักแบบไม่หนัก 3 – 4 ครั้ง  แต่ที่อาการหนักคือหมุนคอดิ้นไปมา พร้อมร้องดังด้วยความเจ็บปวด  เราก็แทบขาดใจทุกครั้งที่เห็นเค้าชัก  น่าสงสารน้องมาก ๆ    น้องสาวเรารีบมาจากที่ทำงานเพราะกลัวว่าจะมาดูใจเค้าไม่ทัน  เวลา 14.00 น. น้องเรากลับมาถึงบ้าน  น้องเราเรียกชื่อเค้าว่า  " แอ๊ะแอ๋ " ด้วยอาการที่แย่มากไม่ร้อง ไม่พูด ไม่เรียกใคร  แต่พวกเราทุกคนกลับได้ยินเสียงตอบกลับมาเป็นเสียงกรี๊ดเสียงดังมาก  เค้าตอบรับเสียงที่น้องสาวเรามาหาเค้า และทักทายเค้าด้วยความดีใจมาก ๆ เหมือนทุก ๆ วันที่เวลาตอนเย็นเค้าคอยรอทุกครั้งว่าเมื่อไหร่พี่อุ๊จะมาสักที   เพราะตอนที่เค้าไม่ได้ป่วยจะคอยฟังเสียงรถ เสียงปิดประตูรถ  พอได้ยินเท่านั้นแหละก็กรี๊ดดังลั่นบ้านไปหมด  พอเจอหน้าก็เรียกชื่อ  พี่อุ๊  รักมาก  รักมาก ๆ ทุกวัน   แต่ตอนนี้เค้าแสดงอาการทักทายได้แค่เพียงกรี๊ดดังมากเพียงหนึ่งครั้งเค้าก็นอนซุกผ้าอยู่ในอ้อมกอดของเราบ้าง  น้องสาวเราบ้าง  เวลานี้มีแต่เสียงร้องไห้  พร้อมน้ำตาและความอาลัยอย่างสุดซึ้ง  พร้อมทั้งเสียงสวดมนต์  เสียงแผ่เมตตา  เสียงภาวนาให้เค้ารอดให้เค้าปลอดภัยดังระงมไปหมด  เพราะด้วยความรักและความผูกพันที่เราทั้งครอบครัวมีให้แก่เค้า และเค้าก็มีให้แก่เราอย่างแน่นอนที่ทำให้ทั้งเค้าและพวกเรารักและผูกพันกันมากขนาดนี้   เราและน้องสาวได้แต่นั่งดูเค้าไม่ให้คลาดสายตาเลย  กลัวว่าเค้าจะเป็นอะไรไปไม่ทันได้ลากันก่อน   พอเค้ามีอาการชักมากขึ้น ๆ  อาการหายใจลำบากของเค้าก็ทำให้เค้าต้องหายใจทางปากบ้าง  แล้วก็หายใจรวยริน  และค่อย ๆ แผ่วเบาบางเป็นช่วง ๆ ไป  เราและน้อง  แม่และแฟนเราก็เค้ามาให้เค้าเห็นหน้าตลอด  ว่าทุกคนรักแอ๊ะแอ๋มาก ๆ ทุกคนอยู่กับน้อง  อยู่ใกล้ๆ  น้องนะ  สายตาเค้าเริ่มกลอกไปมาซ้ายขวา  แต่เค้าหน้าพวกเราทุกคนว่าอยู่ใกล้ ๆ เค้าจริง ๆ ไม่มีใครทิ้งเค้าไปไหนเลย  แค่นี้น้องคงดีใจมากที่สุดแล้วใช่มั๊ยน้องรักของพี่เอ๋และทุก ๆ คน  อาการชักของเค้าเริ่มจาก 1 ชม. ชัก  แล้วค่อยลดลงเป็น 45 นาที  30  นาที  20  นาที  และ  15  นาที    พวกเราจึงค่อย ๆ บอกเค้าว่าถ้าเค้าทนไหวจนถึง 6  โมงเย็น  เพื่อจะได้ไปพบคุณหมอที่ช่วยชีวิตน้องไว้  ก็ให้น้องอดทนไว้นะ  เพราะวันนี้คุณนัดฉีดยาอีกเป็นครั้งที่ 3  ตอน  6  โมงเย็น  แต่ถ้าน้องอยู่สู้ไม่ไหวแล้ว   มันทรมานมากแล้ว   ก็ขอให้น้องหลับและไปให้สบายนะลูกนะ  น้องจะไม่เหนื่อย  ไม่ทรมานอีกแล้ว  เราคอยหันไปมองนาฬิกาอยู่ตลอดว่าเค้าจะอยู่ถึง  5  โมงเย็นมั๊ย   ถ้าอยู่ถึงเราก็จะรีบพาเค้าไปรอคุณหมอที่คลินิกเลย   เวลา 16.20 น. แล้ว ปรากฏว่าเค้ายังอยู่  พวกเราเลยรีบจัดของขึ้นรถ  แล้วบอกน้องว่าไปหาคุณหมอกันนะลูกนะ   ไม่น่าเชื่อว่าน้องแอ๊ะแอ๋ทำตาโตแป๋วเลย  เหมือนดีใจที่ได้ไปหาคุณหมอ  และระหว่างการเดินทางน้องก็ไม่ชักเลย   ทั้งที่ก่อนหน้านี้อาการเค้าก็ไม่ดีอยู่แล้ว    พอถึงคลีนิคคุณหมอก็รีบฉีดยาแก้ชัก พร้อมทั้งให้ดมยาและให้ออกซิเยนแก่น้องโดยทันที   ระหว่างที่น้องดมยาและให้ออกซิเยนอยู่น้องก็มีอาการชักเป็นพัก ๆ  แต่การหายใจของเค้าเริ่มดีขึ้น หายใจสะดวกขึ้น   จมูกและเท้าที่เริ่มซีดมากตอนมาถึงก็ค่อย ๆ ดีขึ้น    ระหว่างอยู่ในห้องกับน้องแอ๊ะแอ๋เราหันมองนาฬิกาว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว  เป็นเวลา  18.40 น.  เราต้องป้อนยาน้องแล้ว  ก็รีบไปหยิบยามาป้อนน้องอีกครั้ง  น้องกินง่าย ไม่ปฏิเสธเลยสักนิด  เราก็บอกรักน้องว่า  รักน้องมาก ๆ นะ  น้องเก่งมาก ๆ  คำว่าเก่งมาก ๆ เป็นคำพูดที่มาจากเค้านั่นแหละ  เวลาเค้าทำพฤติกรรมอะไรก็ฉลาดและแสนรู้  เราก็มักจะถามเค้าว่า "ใครเก่ง" เค้าตอบว่า  " แอ๋  "   เราก็ถามต่อว่า  " แล้วน้องเก่งมากมั๊ย  " เค้าก็ตอบว่า  " เก่งมาก  เก่งมาก ๆ "  นี่แหละคือที่มาของคำว่า  " เก่งมาก ๆ  "    ซึ่งน้องแอ๊ะแอ๋เค้าก็เก่งมาก ๆ จริง ๆ  ที่อดทนต่อความเจ็บปวด และทรมานกับอาการที่เค้าเป็นมาได้นานขนาดนี้   ถือว่าทั้งเก่ง และอดทนมาก ๆ จริง ๆ    เวลา  19.10 น.  คุณหมออีกท่านที่ดูแล case ของน้องอยู่มาถึง   คุณหมอมาดูน้องน้องก็ชักให้คุณหมอดูทันทีเลย  เราและน้องสาวก็สอบถามคุณหมอถึงอาการชักของเค้าว่าเกิดจากอะไร  คุณหมอก็อธิบายว่า  เชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายแล้วมีทั้งชนิดที่อยู่ในกระแสเลือด ซึ่งมียาที่สามารถเข้าไปยับยั้งเชื้อโรคตัวนั่นได้   แต่ถ้าเชื้อโรคเข้าสู่สมองเมื่อไหร่ก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้  ทำให้แค่เพียงการให้ยาระงับอาการชัก  เพราะอาการชักเกิดจากเชื้อโรคเข้าสู่สมองแล้ว   และอีกวิธีที่ต้องทำควบคู่กันคือ  การให้ยาบำรุงสมอง  เพื่อเข้าไปต้านเชื้อโรคนั้น ๆ ไม่ไห้แข็งแรงไปกว่าร่างกายที่เราเป็นอยู่ในสภาพปกติ  นี่คืออาการที่คุณหมอสันนิษฐานว่า  น้องแอ๊ะแอ๋  น่าจะได้รับเชื้อที่เค้าเป็นในปริมาณที่มาก หรืออยู่ในระดับที่ยาไม่สามารถควบคุมได้หมดทุกจุดโดยเฉพาะที่สมอง  ซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้  แต่พอจะควบคุมได้ด้วยวิธีข้างต้น หลังจากที่คุณหมออธิบายให้เราและน้องสาวเข้าใจในกระบวนการแพร่เชื้อของเชื้อโรคแล้วนั้น   คุณหมอก็เริ่มฉีดยาแก้ชักให้น้องแอ๊ะแอ๋   พอฉีดยาเสร็จยาก็เริ่มออกฤทธิ์ทันที  น้องแอ๊ะแอ๋ค่อย ๆ นิ่งไป  แต่หายใจอยู่  เหมือนสลบแต่ยังรู้สึกตัว แค่ไม่ดิ้นโวยวาย  เพราะคุณหมอกำลังจะให้น้ำเกลือแก่เค้า  ถ้าเค้าดิ้นก็จะเจาะเข็มให้น้ำเกลือไม่ได้   เวลา  19.25 น.  คุณหมอเริ่มให้น้ำเกลือแก่น้องแอ๊ะแอ๋ และบอกเรากับน้องว่า  เดี๋ยวจะให้น้ำเกลือกลับบ้านไปด้วย  พร้อมทั้งให้ยาแก่ชักด้วย  ให้คอยป้อนเค้าตามปริมาณที่กำหนด  แต่ถ้ามีการชักก็จะมีการเพิ่มความถี่ในการให้มาไปเรื่อยตามลำดับ  แล้วพรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าเป็นยังไง  น้องจะดีขึ้นมั๊ย    พอคุณหมออธิบายเสร็จพวกเราก็สบายใจคิดว่าน้องน่าจะมีความหวังมากขึ้น  เวลา 19.30 น. เราพาแม่ไปทานข้าวร้านอาหารข้างๆ คลินิกนี่แหละ แต่น้องเราเค้าไม่ไปก็เลยนั่งเฝ้าน้องให้น้ำเกลืออยู่ เวลา 19.50 น.   เรากำลังนั่งกินข้าวอยู่กับแม่ในร้าน  และกินด้วยความรีบร้อน  เพราะเป็นห่วงน้องแอ๊ะแอ๋อย่างรีบกลับไปเฝ้าเค้าเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น  น้องเราบอกว่าให้รีบมาดูน้อง  น้องแอ๊ะแอ๋เค้าจะไปแล้ว  เรารีบวิ่งออกจากร้านไปที่คลีนิคซึ่งอยู่ถัดกัน 2-3 ห้อง พอเห็นสภาพน้องแอ๊ะแอ๋น้ำตาก็ไหลและร้องไห้ชนิดที่ว่าแทบขาดใจเลยทีเดียว  คุณหมอกำลังนวดหัวใจเค้า  เรารีบโทรบอกแม่ให้รีบมาดูใจน้องทันที  แม่ก็รีบวิ่งมา  เรารีบโทรหาแฟนเราเพราะเค้าก็รักน้องแอ๊ะแอ๋และดูแลเค้าอยู่ทุกวัน  น้องสาวเราเล่าว่าเค้าหายใจแรง และดังเฮือก ๆ  3  ครั้ง  แล้วก็อึออกมา  แล้วก็นิ่งไป  คุณหมอฉีดยากระตุ้นหัวใจ  นวดหัวใจ  แล้วเค้าก็กลับมาแบบรวยระรินเต็มที  คุณหมอบอกให้ทุกคนบอกลาน้องแอ๊ะแอ๋ซะเค้ากำลังจะไปแล้ว  เราและน้องสาวบอกลาน้องและจูบลาน้องเป็นครั้งสุดท้าย  เราเปิดลำโพงให้แฟนเราได้บอกลาน้องเป็นครั้งสุดท้าย  แม่ร้องไห้และบอกลาน้อง  และคนสุดท้ายก็คือคุณหมอที่รักและเป็นห่วงน้องคอยดูแลน้องและให้การรักษาน้องอย่างดีที่สุด  ทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตเค้าไว้  ถึงแม้ด้วยเวลาที่รู้จักกันมันสั้นนิดเดียว  คุณหมอก็ยังรู้สึกรักน้องแอ๊ะแอ๋เลย   คุณหมอบอกลาน้องด้วยน้ำตาไม่ต่างไปจากพวกเราทุกคน  
เวลา 20.00 น.  หัวใจน้องหยุดเต้น  คุณหมอฟังหัวใจอีกครั้ง และน้องแอ๊ะแอ๋ น้องรักของพวกเราทุกคนก็จากไปอย่างสงบ และไม่มีวันกลับ  แต่เค้าดูเหมือนนอนหลับไปอย่างสบาย ไม่ทุกทรมานร่างกายอีกต่อไป  และคำที่ทุกคนพูดให้แก่เค้าเป็นครั้งสุดท้าย ก็คือ  " ขอให้น้องแอ๊ะแอ๋  หลับให้สบายนะ  น้องไม่ต้องทรมานอีกแล้ว  หมดเวรหมดกรรมกันซะที  น้องน่ารักมาก ๆ  น้องเข้มแข็งมาก ๆ    น้องอดทนมาก ๆ  และน้องเก่งมาก ๆ  เก่งมากจริง ๆ  ขอให้น้องไปสู่สุคตินะลูกนะ... หวังว่าความรักและความผูกพันที่พวกเรามีให้แก่น้อง  จงดลบันดาลให้น้องได้กลับมาเจอ และมาอยู่กับครอบครัวของพวกเรา   มาสร้างความรัก   สร้างความสุข   สร้างความสนุก และสร้างความผูกพันดี ๆ   เหมือนที่น้องได้ทำไว้กับพวกเราทุกคนในชาตินี้อีกนะ       พวกเราทุกคนจะรอน้องนะ  " น้องแอ๊ะแอ๋ " ทุกคนรักน้องมาก ๆ  รักน้องที่สุดเลย....ลาก่อนนะน้องรัก "
วันที่ 6  ตุลาคม 2552  วันนี้เป็นวันเกิดพี่อุ๊  พวกเราทุกคนตั้งใจจะใส่บาตรเพื่อทำบุญวันเกิด  แต่กลับกลายเป็นว่าต้องใส่บาตรทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้น้องแอ๊ะแอ๋ด้วย  พวกเราทุกคนตื้นแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวใส่บาตร และไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันนี้จะไม่มีน้องอยู่ด้วยแล้ว  น้องจากเราไปเร็วมาก   เร็วเกินกว่าที่จะทำใจได้เลย  เหงามากเลย  ใจหายมาก   เพราะมองไปทางไหนก็คิดถึง  นึกถึงน้องตลอดเวลา  ที่ที่น้องเคยเล่น  เคยกิน  เคยนอน  เคยไปเกาะแล้วร้องเรียกพวกเรา  วันนี้มองไปกลับว่างเปล่าไม่มีเสียงน้องร้องเรียก  ไม่มีเสียงน้องบินไปมา  ไม่มีน้องมาเกาะที่แขนให้พาไปอาบน้ำ  ไม่มีน้องมาเกาะที่ไหล่เพื่อเวลาเราไปไหนเคาขอไปด้วย  ไม่มีน้องมายืนบนหัวคอยเล่นที่ติดผม   ไม่มีน้องให้พวกเรากอด   ไม่มีน้องให้พวกเราได้จุ๊บ และบอกรักอีกต่อไปแล้ว   วันนี้น้ำตาร่วงไม่รู้ก็รอบแล้วที่นึกถึงน้อง และจะเป็นอย่างนี้ไปอีกกี่วันไม่รู้  เพราะพวกเราทุกคนคิดถึงน้องมาก ๆ   แต่พวกเราทุกคนมีอะไรบ้างอย่างที่อยากจะบอกน้อง  น้องจงฟังและรับรู้ไว้นะ  แม้ว่าวันนี้น้องจะไม่มีตัวตนให้พวกเราได้เห็น  ได้สัมผัสน้องอีกแล้ว พวกเราทุกคนจะคงยังรักน้องต่อไป  รักน้องมากขึ้นทุกวัน และรักน้องมากจริง ๆ  น้องจะอยู่ในใจของพวกเราตลอดไป  และวันนั้นวันที่น้องกลับมาหา  กลับมาอยู่กลับพวกเรา  คงเป็นวันที่พวกเราทุกคนมีความสุขมาก ๆ  พวกเราจะรอน้องนะ  "น้องแอ๊ะแอ๋ "  
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับน้องแอ๊ะแอ๋ครั้งนี้ ขอให้เป็นอุทาหรณ์และเป็นวิทยาทานแก่ผู้ที่เลี้ยงนกซันคอนัวร์ทุกคน  เพื่อเป็นการเตือนให้ทุกคนได้ระวังในการดูแลเค้าให้มาก ๆ และการคัดเลือกนกมาเลี้ยงด้วยว่าเค้ามีความสมบูรณ์ทางร่างกายมากน้อยเพียงใด  แม้เราไม่สามารถดูรายละเอียดภายในร่างกายเค้าได้  แต่เราต้องสามารถดูเค้าได้จากลักษณะบ่งบอกความปกติ หรือไม่ปกติของเค้าได้ หากคุณถ้าคิดจะเลี้ยงนกพันธุ์อะไรก็ตาม หรือสัตว์อะไรก็ตามมาเลี้ยง  ควรจะทำการศึกษาข้อมูลที่เกี่ยวกับสัตว์เหล่านั้นมาบ้าง  เพื่อง่ายต่อการเลือกซื้อสัตว์ที่สมบูรณ์แข็งแรง  ไม่มีโรคประจำตัว  หรือโรคติดต่อร้ายแรงมาแพร่เชื้อต่อสัตว์ชนิดเดียวกัน และสัตว์อื่น ๆ ได้     หวังว่าความรู้ที่มอบให้นี้จะส่งผลให้น้องแอ๊ะแอ๋ได้รับผลบุญที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือนกตัวอื่น ๆ  ที่มีอาการแบบนี้ หรือมีอาการที่ใกล้เคียงแบบนี้  ขอให้เค้าได้เป็นส่วนหนึ่งที่มีโอกาสทำประโยชน์แก่นก และสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ บ้าง  ถึงแม้วันนี้เค้าจะไม่มีลมหายใจอยู่แล้วก็ตาม  จงช่วยเหลือเค้าก่อนที่อาการต่าง ๆ จะลุกลาม และรุนแรงมากจนสายเกินไปอย่างที่น้องแอ๊ะแอ๋เป็น  ขอให้วิญญาณน้องแอ๊ะแอ๋น้องรักของพวกเราทุกๆ คนไปสู่สุคติ  น้องคงหมดเวรหมดกรรมแล้วนะลูกชาตินี้น้องเกิดมาทำให้ทุกคนได้มีความสุข    และทุกคนได้ให้ความรักแก่น้องมาก ถึงมากที่สุด    เหมือนน้องเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพวกเราทุกคน เท่านี้ก็ถือว่าน้องได้ทำบุญกับพวกเรามากแล้วที่ทำให้พวกเราได้มีความสุขตลอดระยะเวลาที่น้องอยู่กับพวกเรา  ขอบคุณน้องแอ๊ะแอ๋มาก ๆ นะลูก  รักน้องที่สุด และคิดถึงน้องที่สุดเลย....หลับให้สบายนะลูก...
สุดท้ายนี้  ขอขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ช่วยชีวิตเค้าขณะที่เค้าอยู่ในภาวะที่แย่และวิกฤตเต็มที  ช่วยให้เค้ากลับมา  กลับมาทำให้ทุกคนมีความสุขถึงแม้จะเป็นวันเดียว คือวันอาทิตย์ที่ 4 ต.ค.52  เพราะวันนี้เค้าดูอากา
มือใหม่หัดเลี้ยง :-)

poknaja

ผมอ่านคับ
แต่ผมไม่ร้องไห้นะคับ
อยากร้องไห้อยู่นะคับแต่ไม่ร้อง
แต่อ่านแร้วร้องไห้ในใจ แต่น้ามตาไม่ไหลนะคับ
เสียใจด้วยนะคับพี่

ผมก้อเลี้ยงซันคับ อายุ2เดือนคับ
ผมจะหลีกเลี้ยงไม่ให้เค้าแทะมั่วคับ
จะให้เค้าเล่นแต่ ลูกบอล พอ
ขอบคุนเจ้า แอ๊ะแอ๋ ที่ทำให้นกหลายตัวรอดนะคับ
ขอบคุนพี่เอ๋เจ้าของกระทู้ด้วยคับ
แระขอให้น้องแอ๊ะแอ๋ไปดีคับ
ขึ้นสวรรค์คับ ไปเปนนกของเทวดาบนฟ้าคับ
[color=FF0000]ยินดีที่รู้จักทุกคนคับ[/color] :-D

naþat³

ขอแสดงความเสียใจ อย่างสุดซิ้ง กับการจากไปของ น้อง แอ๊ะแอ๋ อันเป็นที่รักยิ่งของทุกคนในครอบครัว ขอเป็นกำลังใจให้ครับ


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

mika


aey

ขอบคุณทุกคนมาก ๆ คะ  ทุกวันนี้ก็ยังคงใส่บาตรให้เค้าทุกเช้า  ตั้งใจว่าจะใส่บาตรเพื่อทำบุญให้เค้า  7  วัน  แล้วพรุ่งนี้จะไปทำสังฆทานให้เค้าที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เค้า และขออโหสิกรรมแก่เจ้ากรรมนายเวรให้เค้าค่ะ  เวลาตื่นนอนตอนเช้าก็จะคอยเรียกเค้าว่าไปใส่บาตรด้วยกันนะน้องแอ๊ะแอ๋..  เวลากรวดน้ำก็ไปกรวดน้ำใกล้ ๆ หลุมฝั่งศพของเค้า  เอาดอกไม้ไปวางที่หลุมเค้าทั้งเช้า กลางวัน เย็น  คอยเดินไปดูเค้า  ไปเรียกเค้าตลอด  ยังคิดถึงน้องอยู่เลย  แต่กำลังใจดีขึ้นเพราะมีพี่ ๆ น้อง ๆ และเพื่อน ๆ ที่ siamphoenix คอยให้กำลังใจ และเห็นใจค่ะ...ขอบคุณแทนน้องแอ๊ะแอ๋ด้วยนะคะ

น้องมีมี่

เสียใจด้วยนะคะ  อ่านแล้ว น้ำตาไหลตามเลยคะ  :cry:
เศร้ามากๆ   เป็นกำลังใจให้นะคะ สู้ๆคะ
:-)  รักเจ้าทุกตัว ทั้งน้องหมาน้องนก :-)  ;-)
นอนหลับฝันดีเมื่อเห็นเจ้าอยู่อย่างสบาย ;-)

sirsanya


kit_sailom

ว่าจะไม่อ่าน เพราะยาวมาก แต่ก็อ่านแล้ว ก็เข้าใจในความสูญเสียและผูกพัน คุณค่านกไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่อยู่ที่จิตใจ