นกที่ถูกทำร้ายจากการเลี้ยงดูของคน

เริ่มโดย ใหม่ ใหม่, กรกฎาคม 12, 2010, 04:20:01 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 2 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ใหม่ ใหม่



Tiki's Tale: Devoicing
By Sybil Erden
© December 14, 1999
Photo: The Oasis Sanctuary    

Tiki เป็นนก Blue and Gold Macaw อายุ 18 ปี ที่เดินทางมาถึง The Oasis Sanctuary ใกล้วัน Thanksgiving ของปี1997 ในช่วง 16 ปีแรกของชีวิต Tiki ได้อาศัยอยู่ในครอบครัวเดียวตลอดมา กับสตรีผู้อยู่ในสถานะภาพหย่าร้างที่รักหลงในตัว Tiki พวกเขาอยู่ด้วยกันในบ้านที่ Tiki จะเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ได้ตามความพึงใจ Tiki จึงเป็นนกที่มีความสุข ได้รับการดูแลอย่างดี จนสามารถพูดได้ว่า...ถูกตามใจมาก่อน

เมื่อ Tiki อายุได้ 14 ปี สตรีผู้นี้ก็ได้พบกับชายคนใหม่ หลังจากนั้นทั้งเธอและ Tiki จึงได้ย้ายจากบ้านที่เคยอาศัยด้วยกันไปอยู่ใน adult community คอนโดมิเนียม ตั้งแต่นั้นมา..เสียงร้องแหบห้าวธรรมดาๆที่แสดงออกถึงความสุขของ Tiki ก็กลับกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดการโต้เถียงกัน ทั้งสามีคนใหม่และเพื่อนบ้านหลายคน ต่างไม่พึงใจกับเสียงหนวกหูนี้

แม้ว่าสตรีผู้เป็นเจ้าของ Tiki จะยังคงทำงานนอกบ้าน แต่สามีของเธอผู้ซึ่งเพิ่งรีไทร์ได้ไม่นาน จะอยู่บ้านทุกวัน และเขาก็มักบ่นเรื่องเสียงหนวกหู เพื่อนบ้านหลายคนได้ติดต่อแจ้งไปที่สมาคมหมู่บ้านและขู่ว่า จะฟ้องร้องดำเนินคดีทางกฏหมาย หากปัญหาเรื่องเสียงหนวกหูนี้ไม่เบาบางลง

แทนที่จะขอคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมนก หรือขายบ้านใหม่ของพวกเขา หรือตีจากสามีคนใหม่ สตรีผู้นี้ได้เลือกที่จะปรึกษากับสัตวแพทย์ ผู้เสนอทางออกที่เขาให้คำจำกัดความว่า เป็นปฏิบัติการผ่าตัดที่ธรรมดาๆ....

Tiki ถูกทำผ่าตัด ที่ทำให้เขาไม่สามารถออกเสียงได้ (Devoicing)

การถูกทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้ ไม่ใช่การทำผ่าตัดที่ธรรมดา ถึงแม้ว่าการกระทำที่ป่าเถื่อนคล้ายๆกันแบบนี้ จะมีทำกันเป็นประจำเสมอๆกับสุนัข แต่มันก็มีความยุ่งยากซับซ้อนและเป็นปฏิบัติการที่เป็นอันตรายอย่างมาก สำหรับนก นกและสัตว์ปีกชนิดอื่นๆ มีความแตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตรงที่ นกไม่มีเส้นเสียงในลำคอ (vocal cord) ที่จะเป็นตัวทำให้เกิดเสียง แต่นกผลิตเสียงด้วยความละเอียดอ่อนและพิถีพิถันจากการขับเคลื่อนและแรงสั่น สะเทือนของอากาศ ที่เคลื่อนผ่านเข้าไปในบริเวณทรวงอก นกมีความสามารถพิเศษในการควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของหน้าอก รวมถึงควบคุมอากาศที่เคลื่อนผ่านเข้าไปในช่องอก (Thoracic Cavity) ด้วย

การถูกทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้ (devoicing) นี้ เป็นปฏิบัติการที่ได้พัฒนามาจากอุตสาหกรรมสัตว์ปีก เพื่อทำให้ไก่ตัวผู้ไม่สามารถออกเสียงได้ โดย 70-80% ของไก่ตัวผู้ที่ผ่านการทำผ่าตัดชนิดนี้ จะเสียชีวิตในภายหลังเนื่องจากการติดเชื้อ หรือจากอาการบวมของเนื้อเยื่อ ที่มีผลทำให้ไปปิดทับช่องทางเดินหายใจ

การทำผ่าตัดจะต้องทำโดยการกรีดผ่านผิวหนังและเนื้อเยื่อลงไปที่ร่างกายนก เข้าไปในโพรงช่องอกที่ตำแหน่งทางเข้าช่องอกด้านหน้า บริเวณใต้ถุงพักอาหารเหนือกระดูกหน้าอก ที่ภายในช่องอกนี้ จะบรรจุไปด้วยหัวใจ ปอดและถุงลมจำนวนหนึ่ง รวมอยู่ในช่องเดียวกัน

เมื่อได้ผ่าเข้าไปถึงในส่วนของช่องอกแล้ว มันก็จะมี 2-3 วิธี ในการทำให้นกไม่สามารถออกเสียงได้ โดยวิธีทั้งหมดจะเกี่ยวเนื่องกับการทำให้เกิดรอยแผลที่ผนังกล้ามเนื้อหน้าอก ที่ยึดกล่องเสียงไว้ จนทำให้กล้ามเนื้อไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้

วิธีหนึ่งของการผ่าตัดขั้นต้น คือการเฉือนผนังกล้ามเนื้อทิ้ง ซึ่งเมื่อแผลหายเป็นปกติก็จะปรากฏรอยแผลเป็น.. อีกวิธีคือการป้ายกรดลงไปบนกล้ามเนื้อ ซึ่งก็จะได้ผลออกมาในแบบเดียวกัน นอกจากนี้จะเป็นการใช้ตาข่ายใยแก้ว ผูกมันพันเข้าที่ผนังหน้าอก

วิธีปฏิบัติการเหล่านี้ จะมีผลให้เกิดความเจ็บปวดอย่างรุนแรงและทำให้เนื้อเยื่อเกิดอาการบวม

มีนกเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่จะรอดชีวิตจากความป่าเถื่อนนี้ พวกที่รอดก็คือนกพวกที่ไม่ได้รับการติดเชื้อจากสารพิษที่ได้เข้าไปอยู่ใน ร่างกาย หรือนกที่ไม่ได้ช็อคตายเสียก่อน จากอาการบวมของเนื้อเยื่อ ที่ไปปิดทับช่องทางเดินหายใจ ส่วนผลที่ตามมาก็คือ นกจะไม่สามารถออกเสียงได้เลย หรืออย่างในกรณีของ Tiki ที่ทำได้แค่ส่งเสียงน่ากลัวออกมาจากในลำคอ

Tiki รอดชีวิต

ก่อนการทำผ่าตัด มีรายงานว่า Tiki เคยพูดได้มากกว่า 20 คำ ในวันนี้..หลังจาก 4 ปีที่ถูกทำผ่าตัด Tiki ได้แต่ "เห่า"

เมื่อสตรีผู้เป็นเจ้าของ Tiki ไปพบกับสัตวแพทย์คนที่ทำให้ Tiki พิการ เธอไม่เคยได้รับการบอกเล่าถึงอันตรายจากการทำผ่าตัดที่ Tiki ต้องเผชิญ และเธอก็ไม่ได้เตรียมพร้อมสำหรับความเสียหายที่จะเกิดกับสภาพจิตใจ ที่การทำให้หมดความสามารถในการออกเสียงนี้ ได้ส่งผลกับตัว Tiki

การออกเสียง การพูด การร้องเรียก มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชีวิตของนก Macaw เช่นเดียวกับที่การพูดและการร้องเพลง ก็มีสำคัญต่อชีวิตของเรา การทำให้นกต้องสูญเสียเสียงไปโดยสิ้นเชิง เป็นความโหดร้ายที่ไม่ต่างอะไรกับการตัดปีกด้วยวิธีpinioning ที่นกต้องถูกรวบตัดข้อกระดูกปีกออกไปส่วนหนึ่ง เพื่อทำให้นกสูญเสียความสามารถในการบิน

จากนกที่มีความสุขและช่างพูด Tiki กลายเป็นนกที่ตีตัวออกห่างและก้าวร้าว โดยเฉพาะกับสามีคนใหม่ และแม้ว่าสตรีผู้เป็นเจ้าของ Tiki จะรักนกของเธอ แต่เธอก็ได้เลือกใช้วิธีที่จะทำให้ Tiki นก Macaw ที่ขาดความสุขตัวนี้....ต้องหลับนิรันดร์

โชคดีเหลือเกิน ที่เพื่อนผู้รู้ใจคนหนึ่งแนะนำว่า น่าจะให้ Tiki มาอยู่ที่ The Oasis

หลังจากที่ Tiki มาถึง The Oasis ได้ไม่นาน ฉันก็ได้ติดต่อไปที่สัตวแพทย์ผู้ซึ่งเป็นประธานกรรมการด้านจริยธรรมของสมาคม สัตวแพทย์สัตว์ปีก ฉันวาดหวังว่า.. สมาคมสัตวแพทย์สัตว์ปีกจะมองเห็นว่า การทำผ่าตัดที่ทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้นี้ เป็นการปฏิบัติที่ขาดจริยธรรม ฉันอยากรู้ว่าจะทำอะไรได้บ้างกับสัตวแพทย์ (หนึ่งในสองคนที่อยู่ในรัฐ Phoenix ผู้รับงานผ่าตัดประเภทนี้) ผู้ซึ่งทำการผ่าตัดนี้กับ Tiki

แต่ฉันก็ต้องสะดุ้ง เมื่อฉันได้รับรู้ว่า สมาคมสัตวแพทย์สัตว์ปีกได้วางการทำผ่าตัดที่ทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้นี้ ว่า มิได้เป็นปฏิบัติการที่ขาดจริยธรรม

ฉันได้รับการบอกกล่าวว่า ตราบใดที่การผ่าตัดกระทำภายใต้การให้ยาสลบ โดยที่เจ้าของนกรับรู้และให้การยินยอม ก็ถือว่าเป็นจริยธรรมที่ยอมรับได้ หมอบอกกับฉันว่า โดยส่วนตัวแล้ว เขามองว่าการทำผ่าตัดที่ทำให้ไม่สามารถออกเสียงได้เช่นนี้ น่าจะเป็นหนทางสุดท้าย ก่อนการวางยาที่จะทำให้นกต้องหลับนิรันดร์

ฟังหมอพูดแบบนี้ ฉันได้แต่ฉงนในใจ..... แล้วสมาคมสัตวแพทย์สัตว์ปีกได้วางจริยธรรมของการวางยาให้ตาย ไว้ที่ตรงไหนหรือ

ต้องใช้เวลานานถึงสองสัปดาห์กว่าที่ Tiki จะยอมขึ้นมายืนบนคอนไม้ที่ฉันยื่นให้ และก็ต้องใช้เวลานานถึง 2 เดือนก่อนที่ Tiki จะยอมก้าวขึ้นมายืนบนแขนของฉันโดยปราศจากการจิก Tiki จะอยู่บนคอนตั้งพื้นของเธอที่วางอยู่ในโถงห้องครัวใกล้ๆกับนกตัวอื่นๆ เช่น Macaws, Cockatoos และ Amazon ตลอดทั้งวัน แต่ Tiki ก็ไม่ได้สนใจที่จะเล่นกับนกเหล่านั้นเพราะ Tiki ไม่เคยรู้ว่า...ตัวเองเป็นนก

แม้ว่ามันจะต้องใช้เวลาถึงสองสามเดือน ที่ทั้ง Tiki และฉันต่าง ได้สร้างความผูกพันในรูปแบบที่ฉันเองก็ไม่เคยมีมาก่อน อย่างน้อยก็กับนกสีฟ้าที่งดงามเช่นนี้ ไม่มีอะไรที่จะทำให้ Tiki มีความสุขมากไปกว่า การที่เธอได้จัดไซ้ขนตาของฉันหรือได้นั่งลงบนตักของฉัน

Tiki จะไม่มีวันได้คืนเสียงที่เคยมี ไม่มีทางได้คืนความสามารถในการพูดที่เคยมี ไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการกู่ร้องต้อนรับอรุณและร่ำลาดวงตะวัน ด้วยความรื่นรมณ์ของการเกิดเป็นนก Macaw

Tiki จะอยู่อย่างปลอดภัยในที่แห่งนี้ The Oasis

แม้ Tiki จะไม่อาจเรียกคืนสัญชาติญาณในความวางใจ โดยเฉพาะที่มีต่อมนุษย์กลับมาได้อย่างสมบูรณ์ แต่ในดวงตาคู่งามที่เป็นประกายสุกใส... ไร้ซึ่งถ้อยคำใดๆ Tiki ได้บอกกับฉันว่า เธอรู้ว่า...ในที่สุดเธอก็ได้พบกับที่พักพิง

Credit: cookietalkie


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่



เรื่องนี้อ่านแล้วเศร้ามาก ไม่รู้ว่านกกระตั้วที่หายไปของเราจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า

7 ปีกับ Jordie ชีวิตที่น่าสงสาร
Seven Years with Jordie
By Sybil Erden
Photo: The Oasis Sanctuary    

ผู้คนมักถามบ่อยๆว่า ทำไมนกที่สถานสงเคราะห์ The Oasis Sanctuary ถึงไม่มีการให้อุปการะออกไป ทั้งๆที่นกเหล่านี้ก็ดูมีความสุขและมีสุขภาพสมบูรณ์ดี อย่าง Jordie กระตั้วเพศเมียพันธุ์ Goffins ก็เป็นหนึ่งในกรณีนี้ เธอเป็นทั้งนกที่มีความสุข เป็นที่รัก มีทั้งความฉลาดและช่างเล่นอย่างที่สุดตัวหนึ่งที่ฉันได้รู้จักเลยทีเดียว

แต่ Jordie ก็ไม่ค่อยโชคดีนัก

ในช่วงต้นปี 1998 สถานสงเคราะห์ The Oasis Sanctuary ได้รับอีเมล์ลฉบับหนึ่งจากคนคุ้นเคย ที่อยู่ในรัฐ Kentucky ระบุว่า มีนกตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในร้านขายสัตว์เลี้ยงในเมืองเล็กๆที่เขาอยู่ นกตัวนี้ป่วยและกำลังตกอยู่ในความทนทุกข์ทรมาน ทาง Oasis จะสามารถช่วยเหลือได้ไหม?

เรามีข้อมูลประวัติของ Jordie ไม่มากมากนัก เราจึงไม่แน่ใจว่า Jordie เป็นนกที่เกิดจากการเพาะเลี้ยงหรือเป็นนกป่านำเข้า Jordie ไม่มีทั้งห่วงขาและไม่มีทั้งเอกสารใดๆเหลืออยู่ ที่จะทำให้เรารู้แน่ชัดถึงประวัติความเป็นมาก่อนหน้านี้ของเธอได้ เท่าที่รู้ Jordie ได้อาศัยอยู่กับหญิงสูงอายุผู้หนึ่งเป็นเวลานาน บางทีอาจถึง 20 ปีเลยทีเดียว แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดหลังจากที่เราได้รู้เรื่องราวของ Jordie มากขึ้นก็คือ ในช่วงเวลาที่ผ่านมา Jordie ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตในกรงสักเท่าไร แต่ Jordie มักจะใช้ชีวิตอยู่บนไหล่ของหญิงสูงอายุผู้ซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูเธอ Jordie เล่นปากกาบ้าง เล่นกิ๊บหนีบผมบ้าง แล้วก็ได้เพลิดเพลินกับเหล่าแขกผู้มาเยือน

มันช่างเป็นห้วงแห่งความรู้สึกสูญเสียและเปลี่ยวดายสำหรับJordie เมื่อหญิงสูงอายุผู้เลี้ยงดูเธอได้ตายจากไป ดุจเดียวกับเหล่าปักษา ที่โศกเศร้าเมื่อต้องสูญเสียสมาชิกร่วมฝูง Jordie ก็โศกเศร้าเมื่อต้องสูญเสียสมาชิกในครอบครัวของเธอ

หลังจากหญิงสูงอายุเสียชีวิตลง Jordie ก็ต้องไปอาศัยอยู่กับหลานชายของหญิงสูงอายุ Jordie อยู่กับเขาเป็นเวลาราว 2 ปี ในระหว่างนี้ Jordie ต้องใช้ชีวิตที่ถูกกักขังอยู่เพียงในกรง แล้ว Jordie ก็เริ่มดึงถอนขนตัวเอง

หลานชายของหญิงสูงอายุได้ขาย Jordie ไปให้กับร้านขายสัตว์เลี้ยงเล็กๆในชนบท ในที่แห่งนี้เองที่ได้ทำให้ Jordie มีชีวิตที่ร่วงโรย ห่อเหียว อยู่ในกรงเล็กๆที่วางอยู่ในมุมมืดดำหลังร้าน รายล้อมไปด้วยกรงของสัตว์เลี้อยคลานและตัว Ferrets เป็นเวลากว่าปี Jordie ต้องกินอาหารที่ไม่มีคุณภาพกับน้ำ รวมถึงต้องอาศัยอยู่ในกรงที่สกปรก จนทำให้อาการดึงถอนขนของJordie ก็มาถึงจุดที่เธอเริ่มจิกทำร้ายร่างกายตัวเอง

ในปี 1998 การจิกทำร้ายร้างกายตัวเองของ Jordie ก็ได้พัฒนาไปจนถึงขั้นที่ผิวเนื้อเหนือต่อมผลิตไขมันของ Jordie กลายเป็นหลุมขนาดเท่าเหรียญควอเตอร์ (ขนาดประมาณเหรียญห้าบาทของไทย) รวมถึงแผลหนองเล็กๆตามเนื้อตามตัวอีกหลายแห่ง ด้วยเหตุนี้เอง...ร่างกายของ Jordie จึงไม่สามารถผลิตฝุ่นผงที่ช่วยปรับสภาพขนให้เป็นขนที่มีสุขภาพดีได้อีกต่อไป เป็นผลให้ขนที่เคยขาวนวลเป็นประกายของ Jordie กลับกลายเป็นขนสีน้ำตาลเทา ไร้เงางาม

Jordie จึงถูกทิ้งลำพังขาดการเหลียวแลเอาใจใส่...อยู่ในร้านค้าสัตว์

ครั้งหนึ่งเคยเป็นที่รัก แต่ปัจจุบัน Jordie กลับถูกหลงลืม กลายเป็นสิ่งของที่มีไว้ขาย Jordie ได้ป่วยลงและกำลังจะตาย จากการติดเชื้อทางร่างกาย ที่มีสาเหตุมาจากแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยารักษา และจากสภาพความทุกข์เวทนาของตัวเอง

เจ้าของร้านขายสัตว์เรียกค่าตัวสำหรับนกป่วยตัวเล็กๆอย่าง Jordie ถึง 1,200 เหรียญ ช่างไร้หัวใจ ไร้ความเมตตา ไม่มีแม้แต่ความห่วงใย เขาไม่ยินยอมแม้จะปล่อยให้ Jordie ไปกับคนที่เสนอจะพา Jordie ไปหาหมอ และรับปากจะพา Jordie กลับมาคืนร้านดังเดิม เขากลับเปรยว่า...ในสภาพที่น่าเวทนาของ Jordie นี้ อาจจะทำให้ใครสักคนเกิดความเมตตา..ยอมซื้อ Jordie ไป

ในที่สุด ด้วยความช่วยเหลือของผู้ห่วงใยท่านหนึ่งซึ่งรู้จักกับเจ้าของร้าน ได้เข้ามาช่วยจัดการจนทำให้ The Oasis ได้ตกลงซื้อตัว Jordie มาในราคา 480 เหรียญ เราเรียกการซื้อเพื่อช่วยชีวิตแบบนี้ว่า "จ่ายค่าไถ่"

เรารวบรวมเงินจำนวนมากได้จากเพื่อนฝูงผู้ห่วงใยนกทางอินเตอร์เน็ท ในที่สุดสุภาพสตรีผู้อยู่ในเมืองเล็กๆของรัฐ Kentucky ผู้ที่ได้ช่วยเจรจากับเจ้าของร้านก็ได้ตัว Jordie ออกมา เธอขับรถพา Jordie ที่มีอาการป่วยไปหาหมอที่รักษานก ในรัฐ Lexington ซึ่งต้องใช้เวลาในการเดินทางนานถึง 2-3 ชั่วโมง

เมื่อ Jordie มาถึงร้านหมอ หมอได้โทรมาบอกฉันว่า Jordie น่าจะมีชีวิตรอดได้และหมอยังบอกฉันอีกด้วยว่า หมอยังไม่เคยเห็นสัตว์ป่วยที่ถูกละเลยอย่างมากเช่นนี้มาก่อน หมอจึงเสนอที่จะช่วยทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นค่าพักฝื้นและการตรวจต่างๆ เพื่อเป็นการช่วยชีวิตที่เศร้าหมองของสัตว์โลกตัวเล็กๆนี้

Jordie ช่างอึดและทนมาก ในช่วงไม่กี่วันที่ได้รับยาปฏิชีวนะ ได้รับอาหารดีๆ ประกอบกับความรักเอาใจใส่ Jordie ก็เริ่มที่จะมีกำลังกลับขึ้นมาใหม่ เมื่อผลเลือดและการทดสอบต่างๆมาถึง อาการของ Jordie ก็มีความหวังมากขึ้น กระทั่งภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ Jordie ก็พร้อมที่จะออกจากโรงพยาบาล

เพื่อนทางอินเตอร์เน็ทไปรับ Jordie ที่ Lexington แล้วขับรถท่ามกลางพายุหิมะพา Jordie มาถึงที่สนามบิน Cincinnati เพื่อพบกับอาสาสมัครของ Oasis ผู้ทำงานกับสายการบิน จากนั้นอาสาสมัครก็ได้พา Jordie นกกระตั้วน้อยบินมาที่รัฐ Phoenix

ในระยะเวลาไม่กี่เดือนที่ Jordie ได้อาศัยอยู่ในห้องทำงานของฉัน เธอจะใช้เวลาในระหว่างวันอยู่บนไหลฉันในขณะที่ฉันทำงาน Jordie มีอาการดีขึ้นอย่างช้าๆ แต่มันก็ยังต้องใช้เวลามากกว่าปีสำหรับ Jordie กว่าที่เธอจะหยุดทำร้ายตัวเอง และก็ต้องใช้เวลาที่ยาวนานขึ้นไปอีก กว่าที่ต่อมผลิตไขมันที่ใช้ในการปรับสภาพเส้นขนของ Jordie จะกลับเป็นปกติ

ในที่สุด Jordie ก็ได้เข้าไปอยู่ในห้องนกร่วมกับนกกระตั้วขนาดเล็กและนกขนาดกลางตัวอื่นๆ ที่นั่น Jordie เริ่มมีเพื่อนที่เป็นทั้งนกด้วยกัน ทีมงานและอาสาสมัคร และด้วยเวลาอันรวดเร็ว..พวกเราก็ได้รู้ว่า เราไม่ควรใส่เสื้อที่มีกระดุมหรือเครื่องประดับใดๆเมื่ออยู่ใกล้เจ้า Jordie ตัวน้อย เพราะ Jordie จะดึงและทำกระดุมแตกด้วยความสนุกสนาน รวมถึงดึงตุ้มหูและทำให้สร้อยคอเสียหายได้ ในเวลาแค่พริบตา

หลังจาก 2 ปีผ่านไป ขนสีน้ำตาลเทาของ Jordie ก็อันตรธานหายไปจนหมดสิ้น จน Jordie เริ่มค่อยๆกลายเป็นนกกระตั้วสีขาวตัวน้อย ที่มีฝุ่นผงขาวตามตัวดังเดิม และแม้ว่าจะมีผิวบางส่วนที่ขนไม่อาจขึ้นได้ดังเดิม แต่ในบริเวณนั้น ก็จะมองไม่ค่อยเห็นได้ง่ายๆเพราะขนทั้งหมดที่มีของ Jordie ได้ขึ้นปกคลุมมันไว้นั่นเอง ขนปีกของ Jordie ก็ได้งอกกลับขึ้นมาด้วย แล้ว Jordie ก็เริ่มหัดบิน

ปัจจุบัน Jordie ได้อาศัยอยู่กับ The Oasis เป็นเวลานานถึง 7 ปีแล้ว

เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมานั้น Oasis ได้ย้ายจากรัฐ Phoenix มาอยู่ในชุมชนเล็กๆ ทางตอนใต้ของรัฐ Arizona. Jordie ก็ได้ย้ายจากที่พักของฉันและจากห้องนกในบ้าน มาอยู่ในอาคารที่สร้างสำหรับนกในเนื้อที่กว้าง 1,300 สแควฟุต ร่วมกับนกตัวอื่นๆที่ยังไม่พร้อมสำหรับการอยู่นอกตัวอาคาร ในอาคารนี้ Jordie ได้บินจากมุมหนึ่งไปอีกมุม ได้เล่นบนหลังคากรงและคอนไม้ตั้งพื้นขนาดใหญ่ ที่วางอยู่กลางห้องร่วมกับนกตัวอื่นๆ Jordie ได้กลายเป็นเพื่อนกับนกตัวอื่นๆที่อยู่ร่วมในอาคารเดียวกัน ที่มีทั้งนก African Greys และนกกระตั้วพันธุ์ Elenora ที่ชื่อ Phoebus

ในขณะที่ Jordie ย่างเข้าสู่ช่วงกลางของวัย Jordie ก็ได้มีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยอยู่กับ The Oasis

นอกเหนือจากที่ Jordie จะได้เป็นนกตัวโปรดของทั้งทีมงานและแขกผู้มาเยือนแล้ว Jordie ก็ยังคงได้ฉายาว่า นกกระดุม เพราะแขกหลายคนของเราจะกลับไปด้วยกระดุมที่ถูกงับ จนพวกเขาต่างต้องโทรกลับมาถามเราถึง Jordie ผู้เป็นหวานใจไม่รู้ลืม

ในขณะที่ฉันมั่นใจว่า ในความฝันของ Jordie จะยังคงมีความทรงจำถึงหญิงสูงอายุผู้ที่รัก Jordie เหลือเกินหลงเหลืออยู่ แต่ในเวลานี้ Jordie ก็ได้ถูกห้อมล้อมไปด้วยความรักและมิตรภาพ จนทำให้ Jordie มีความสุขกับชีวิตของเธอ

ในสถานสงเคราะห์แห่งนี้ ไม่มีการให้อุปการะนกแม้แต่ตัวเดียว ด้วยพวกเขาต่างอยู่ภายใต้เอกสารสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรว่า พวกเขาจะได้รับการดูแลไปตลอดชีวิต

นกอย่าง Jordie ได้ผ่านชีวิตที่โชคโชนมาเพียงพอแล้ว.... จากนี้ไป ในช่วงสุดท้ายของชีวิต Jordie จะมีที่พักพิงที่ยั่งยืน ร่วมกับนกตัวอื่นๆและทีมงานของ The Oasis

credit: cookietalkie


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่



เรื่องเศร้าๆของ Candy
Photo: maars.org
   

ครั้งหนึ่งนกกระตั้ว Moluccan ชื่อ Candy ผู้เคยได้โบกบินอย่างอิสสระในป่าของประเทศอินโดนีเซีย... Candy ได้บินหาอาหาร ได้อาศัยพักพิงอยู่บนต้นไม้ ได้อาบน้ำฝนฉ่ำใจและได้ร้องทักทายเพื่อฟูงเหล่านกด้วยกัน

อาจเป็นไปได้มั้งที่ี Candy จะมีคู่ ที่ช่วยกันเลี้ยงดูเหล่าลูกๆอย่างทะนุถนอม หรืออาจเป็นไปได้มั้งที่ Candy จะเป็นเพียงลูกนกที่เพิ่งเริ่มหัดโผบิน ในขณะที่ถูกรวบจับ ดึงเอา Candy ออกจากโลกที่เป็นของเธอ มาสู่โลกของมนุษย์

หลังจากหลายปีผ่านพ้นไป Candy ก็ถูกทิ้งไว้ที่สถานสงเคราะห์สัตว์ Humane Society ที่ได้ช่วยส่งต่อ Candy มายัง MAARS เนื่องจากสภาพของ Candy จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาในกรณีพิเศษ

ด้วยผลจากสภาพความเป็นอยู่ที่ขาดการเอาใจใส่อย่างน่าสังเวช ทำให้ Candy ดึงถอนขนออกจากตัวเกือบทั้งหมด รวมถึงทำร้ายตัวเอง ด้วยการดึงฉีกเนื้อจนเป็นแผลเรื้อรังที่หน้าอก

การทำร้ายร่างกายให้เกิดความบาดเจ็บเช่นนี้ เป็นพฤติกรรมปกติที่มักเกิดขึ้นกับนกสัตว์ป่าที่มีความฉลาด ผู้ต้องตกอยู่ในที่กักขัง แม้กระนั้นพฤติกรรมเช่นนี้ก็ยังเป็นเรื่องปกติ ที่สามารถเกิดขึ้นได้กับนกที่เติบโตมาในกรงเช่นกัน เนื่องเพราะความเครียดที่สะสมทับทวี ในสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่เป็นธรรมชาติ สามารถสร้างปัญหาสุขภาพรุนแรง สร้างปัญหาพฤติกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงสร้างปัญหาความป่วยไข้ทางใจ

สำหรับ Candy แล้ว..แม้เพียงการยืนเกาะบนคอนและปีนป่ายไปมา ก็ยังต้องอาศัยแรงผลักดันที่ยากยิ่ง ด้วยความไร้สมรรถภาพของร่างกายที่ปราศจากขนหางและขนปีก กล้ามเนื้อปีกและเอ็นต่างอยู่ในสภาพแคระแกร็นรุนแรง รวมถึงข้อต่อตามร่างกายเหล่านั้นก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ซึ่งเป็นผลมาจากหลายๆปีที่ผ่านมานั้น Candy ต้องถูกกักขังอยู่ในกรงที่เล็กมาก เล็กเกินกว่าที่จะกักขังวิญญาณแห่งธรรมชาติของเธอ ให้ใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

ด้วยความช่วยเหลือของ MAARS... Candy ได้รับการผ่าตัดเพื่อปรับปรุงเนื้อเยื่อที่เสียหายในส่วนหน้าอก พร้อมๆไปกับการรักษาเยียวยาทางการแพทย์ที่ยาวนาน รวมถึงการบำบัดทางกายที่จะช่วยบรรเทาและปรับปรุงให้ Candy มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น จากความไม่สะดวกทางกายทั้งหลายทั้งปวง

จนถึงขณะนี้สุขภาพของ Candy ได้พัฒนาดีขึ้นอย่างน่าทึ่ง.. Candy ไม่ทำร้ายร่างกายตัวเองและขนเส้นใหม่ๆก็ได้งอกขึ้นมาหลายเส้น

credit: cookietalkie


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่



เรื่องนี้เคยอ่านมาเมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่เมื่ออ่านอีกทีไรก็รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้ง



ริดลี่ ผู้ถูกทอดทิ้ง


ถ้าริดลี่รู้อนาคต...เขาคงอยากอยู่ในไข่ต่อไป และคงไม่ปล่อยให้สัญชาติญาณโน้มนำให้เขาเจาะไข่ให้แตกเพื่อให้ตัวเองหลุดพ้น ออกมาจากในนั้น

แม้ด้วยดวงตาที่ยังคงปิดสนิด...แต่ริดลี่ก็สามารถรับรู้ถึงสัมผัสอันอ่อนโยน จากพ่อและแม่ของเขา พ่อแม่ที่ได้ช่วยกันป้อนอาหารให้เขาด้วยจะงอยปาก พ่อแม่ที่ได้ช่วยกกกอดร่างที่แทบจะเปลือยเปล่าของเขาไว้ ภายใต้ปีกและขนอันอ่อนนุ่ม

เมื่อเวลาผ่านไปจนกระทั่งริดลี่มีขนขึ้นเต็มตัว....ริดลี่ก็ได้รู้จักกับพ่อแม่ที่เป็นมนุษย์

ไมค์ ผู้ป้อนอาหารอุ่นอ่อนๆด้วยช้อนให้ริดลี่ และไมค์ก็มักจะโอบกอดร่างของริดลี่ไว้ที่ใต้คาง ในช่วงเดือนแรกๆของชีวิต ริดลี่ได้เรียนรู้ในหลายๆสิ่ง ริดลี่ได้เรียนรู้ถึงวิธีถือก้านบล็อคเคอรี่ไว้ด้วยเท้าข้างหนึ่ง ไปพร้อมๆกับการกัดกินมันทีละน้อยด้วยจะงอยปาก ริดลี่เรียนรู้ที่จะไม่ร้องโวยวายเมื่อได้เห็นผลแบล็คเบอร์รี่ที่อยู่ในถ้วย อาหาร แต่กลับแสดงอาการยกหงอนสีส้มสวยนั้นขึ้นชี้ฟ้าแทน ริดลี่ได้เรียนรู้ถึงการอาบน้ำและเขาก็ชอบละอองน้ำที่พุ่งกระจายเป็นสายมา จากขวดสเปรย์ ริดลี่เรียนรู้ที่จะใช้จะงอยปากไซ้ขนที่อ่อนนุ่มสะอาดของตัวเอง และริดลี่ก็ยังยอมให้ไมค์ใช้ปลายนิ้วช่วยลูบคลึงขนหนามเส้นใหม่ที่ตัวเอง เอื้อมไซ้ไม่ถึงอีกด้วย

ริดลี่เรียนรู้ที่จะให้ความรักแก่ไมค์ แต่ไมค์ผู้มีหน้าที่เลี้ยงดูลูกนกจำนวนมากไม่สามารถที่จะเก็บลูกนกไว้ได้เอง ทุกตัว และแล้ววันหนึ่งริดลี่ก็ถูกขายให้กับสุภาพสตรีผู้หนึ่ง ที่มาพร้อมกับเด็กหญิงเล็กๆชื่อ "เรน่า"

เมื่อถึงเวลาที่จะต้องจากลา ไมค์พยายามนึกฝันว่า ริดลี่จะได้ไปเป็นสมาชิกที่มีความสุขอยู่ในบ้านหลังใหม่ และเมื่อเรน่าเติบโตขึ้นไปมีบ้านของตัวเอง ริดลี่ก็จะยังคงอยู่กับเธอ ไมค์รู้ว่ามันจะเป็นไปได้แน่นอนเพราะนกกระตั้วเป็นนกที่มีอายุยืนยาวนาน ไมค์..มีความรู้ดีเกี่ยวกับนกชนิดนี้

แต่ไมค์ไม่อาจรู้อนาคตของริดลี่ ดังนั้นไมค์จึง...ทอดทิ้งริดลี่


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่

ในระยะแรกๆ....ริดลี่ต้องพบกับความสับสนมากมายในโลกใหม่และสิ่งใหม่ๆ บ้านใหม่ ที่มีเสียงสภาพแวดล้อมที่แปลกใหม่ ภาพที่ปรากฏในสายตาก็เป็นวิวที่แปลกใหม่ อาหารใหม่ กรงใหม่และผู้คนก็หน้าใหม่ๆ แต่ริดลี่เป็นนกที่ฉลาดเหลือเกิน ริดลี่จึงเรียนรู้และเข้าใจสิ่งใหม่ๆได้จากการสอน

ริดลี่เรียนรู้ว่าเพื่อนที่ดีคนใหม่ชื่อว่า "แม่" และริดลี่ก็เรียนรู้ว่า..เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับเข้ากรง หากเขาได้อ้อนแม่ด้วยวิธีเอนหัวซบลงบกไหล่แม่แล้วละก็ ริดลี่จะได้เวลาแถมอีกนิดหน่อยเพราะแม่จะช่วยลูบขนที่คอให้ ริดลี่รู้ว่าจะทำให้เรน่าหัวเราะได้เมื่อตัวเองโชว์การห้อยหัวแบบกายกรรม และเรน่าก็มักจะพูดว่า "ริดลี่เป็นกระตั้วไอสครีมซันเดย์ ที่มีลูกพีชและครีมลาดหน้า" แน่นอนทุกครั้งเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ริดลี่ก็มักจะยกหงอนขึ้นพร้อมกับกางปีก

แต่แม่และเรน่าก็ต้องเรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากความเป็นนกของริดลี่เช่นกัน พวกเขาได้เรียนรู้ว่านกกระตั้วมีความสุขกับการได้ร้องตะโกนในยามเช้าและยาม เย็น และเมื่อริดลี่ตะโกน แม่ก็จะยักไหล่แล้วพูดว่า "พวกเรารู้ดีเสมอว่านกกระตั้วชอบตะโกน" และนอกจากนี้แม่ก็เรียรรู้ว่า แม่จะต้องป้องกันจะงอยปากของริดลี่ ไม่ให้เข้าใกล้โต๊อาหารที่เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ แต่แม้กระนั้นแม่ก็มักจะพูดเสมอว่า "บ้านเราไม่ค่อยจะมีแขกมาทานอาหารเย็นพร้อมๆกันทั้งสี่ที่นั่งอยู่แล้ว"

ดังนั้นทั้งริดลี่ แม่และเรน่าจึงเป็นครอบครั้วที่มีความสุขสำราญใจ จนกระทั่งถึงวันที่แม่ซื้อเมล็ดแมคคาเดเมียนัทมาหย่อนลงในถ้วยอาหารของริ ดลี่แล้วพูดว่า "ริดลี่..ของกินพิเศษนี้สำหรับการฉลองตำแหน่งใหม่ของแม่"

ริดลี่ไม่เข้าใจหรอกว่าการฉลองตำแหน่งใหม่ของแม่คืออะไร แต่แมคคาเดเมียนัทนั้นมันดูเหมือนจะเป็นของดี และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมาแม่ดูจะมีเวลาให้ริดลี่น้อยลง...น้อยลง...

เรน่าเองก็ออกนอกบ้านมากขึ้น แล้วบางวันเรน่าก็ยังสวมเสื้อผ้าแปลกๆ ริดลี่ได้ยินเธอพูดว่า..จะไปเรียนเต้นรำ

เรน่ายังคงพูดคุยกับริดลี่ทุกเช้า ส่วนริดลี่เองก็ยังคงทำขนยุ่งๆมาปกคลุมจะงอยปาก ที่เป็นสัญญลักษณ์ทำให้เรน่าเรียกมันว่า เป็นการทำหน้าตาที่อ่อนโยน และเหมือนทุกครั้ง เรน่ายังคงเรียกริดลี่ว่า "ริดลี่เป็นกระตั้วไอสครีมซันเดย์ ที่มีลูกพีชและครีมลาดหน้า"

อย่างเคยเมี่อได้ยินคำพูดนี้ ริดลี่ก็จะจำได้และยกหงอนที่หัวขึ้นพร้อมกางปีก

แต่เมื่อริดลี่ต้องโดนอยู่ในกรงเพียงลำพังหลายๆชั่วโมง วันที่แสนจะยาวนาน..ริดลี่ไม่รู้จะทำอะไรดี ริดลี่จึงเริ่มเบื่อ

มันอาจเป็นเพราะสาเหตุนี้กระมังที่ทำให้ริดลี่จิกแม่ ครั้นเมื่ออยู่บนแขนแม่ ริดลี่ก็ยังรู้สึกตื่นเต้นกับเสียงเคาะประตูของบุรุษไปรษณีย์ จนทำให้ริดลี่นึกอยากจะจิกไล่บุรุษไปรษณีย์ ให้เอาเจ้ากล่องใบใหญ่ๆไปให้พ้นตา หรือริดลี่จะมีพลังงานเหลือเฟือ ที่ทำให้การจิกกัดอาจจะช่วยปลดเปลื้องพลังงานนั้นออกไปซะบ้าง ริดลี่คงอยากจิกกัดคอนไม้บ้าง แต่โชคไม่ดีเพราะเจ้าคอนไม้ที่อยู่ใกล้ที่สุดในเวลานั้น..มันเป็นข้อมือของ แม่ ริดลี่เองก็ไม่รู้ตัวว่า..ทำไมริดลี่จึงกัดแม่

แต่แม่คิดว่าแม่รู้ว่าทำไม....เพราะแม่คิดเอาเองว่า ริดลี่ไม่รักแม่อีกต่อไปแล้ว "เพราะแม่ไม่มีเวลาให้ริดลี่ ..ริดลี่ก็เลยโกรธแม่หรือ" แม่กล่าว "แม่ไม่สามารถทำให้ริดลี่มีความสุขในบ้านนี้ได้หรือ"

แม้แม่จะได้เรียนรู้อย่างมาก แต่แม่ยังคงมีความรู้เกี่ยวกับนกกระตั้วน้อยเหลือเกิน

ดังนั้นแม่จึง...ทอดทิ้งริดลี่


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่

ริดลี่ต้องไปอยู่กับซาร่า ผู้เป็นน้องสาวของเพื่อนแม่ แต่ริดลี่ยังคงคิดถึงแม่ คิดถึงเรน่าและคิดถึงบ้าน ส่วนซาร่าก็ช่างมีความอดทนเหลือเกิน เธอมักจะชอบเล่าเรื่องราวและชอบพูดคุยกับริดลี่ ซาร่าอยากมีเพื่อนและซาร่าก็คิดว่าริดลี่ก็อยากมีเพื่อนเช่นกัน ด้วยการใช้เวลาไม่นานนัก ทั้งซาร่าและริดลี่ต่างก็กลายเป็นเพื่อนซี้กัน

ซาร่ามีอาชีพเป็นครู บางครั้งซาร่าจึงพาริดลี่ไปที่โรงเรียนกับเธอด้วย เด็กๆที่โรงเรียนช่างทำให้ริดลี่คิดถึงเรน่าเหลือเกิน และแม้ริดลี่จะชอบดูพวกเด็กๆเล่นสนุกกัน แต่ริดลี่ก็ไม่ชอบให้พวกเด็กๆเข้าใกล้ ริดลี่จะไม่ชอบให้ใครๆเข้าใกล้เลย ยกเว้นซาร่า

ดังนั้นเมื่อบาร์ทมาเยี่ยมซาร่า ริดลี่จึงไม่มีความสุขเลย บาร์ทมักจะตีเคาะซี่กรงของริดลี่และหัวเราะใส่ ทำให้ริดลี่ยกหงอนขึ้นแสดงอาการระวังและตื่นกลัว แม้ทุกครั้งเมื่อซาร่าขอให้บาร์ท หยุด แต่บาร์ทกลับตีกรงของริดลี่อย่างต่อเนื่อง...ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ

บาร์ทมักจะบ่นว่าซาร่า "เธอใช้เวลาอยู่กับไอ้นกโง่ๆนี่มากเกินไปแล้ว...ซักวันฉันจะโยนมันออกไปนอก หน้าต่าง" แม้ซาร่ามักจะร้องไห้เสมอเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่บาร์ทก็ยังคงมาที่บ้านนี้บ่อยๆ

ในวันหนึ่งที่สองคนนี้ถกเถียงกัน ซาร่าจึงพาริดลี่ไปที่โรงเรียนด้วย...แต่ในเย็นวันนั้นริดลี่ไม่ได้กลับบ้าน เหมือนอย่างเคย ซาร่ากลับพาริดลี่ไปที่ร้านขายสัตว์เลี้ยง แล้วเธอก็พูดกับริดลี่ว่า "ฉันแน่ใจว่าจะมีใครซักคนซื้อริดลี่และสามารถให้ความปลอดภัยกับริดลี่ได้ ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ฉันจะทำอะไรได้มากไปกว่านี้ และที่สำคัญบาร์ทบอกว่า "เราต้องการเงิน" "

"เสียใจด้วยนะริดลี่ แต่บาร์ทเขาก็รักฉัน" ซาร่ากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

ซาร่ารู้จักความรักน้อยเหลือเกิน ดังนั้นซาร่าจึง...ทอดทิ้งริดลี่

อีกครั้ง..ที่ริดลี่ต้องตกไปอยู่ในสถานที่ที่แปลกๆ รายล้อมไปด้วยผู้คนที่แปลกหน้า แต่คราวนี้คนแปลกหน้าหลายคนต่างสลับเปลี่ยนมาจ้องดูริดลี่ที่อยู่ในกรงเล็กๆ กรงที่ไม่มีแม้มุมจะหลบซุกตัว จนหลายครั้งริดลี่ประหม่าที่จะกินอาหาร ทำให้ริดลี่ต้องรอจนกว่าร้านค้าจะปิดลงและทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว

และแล้ว..วันสุดท้ายในร้านขายสัตว์เลี้ยงของริดลี่ก็มาถึง เมื่อหญิงผู้สวมชุดสีม่วงผู้หนึ่ง เดินตรงเข้ามาที่กรงของริดลี่แล้วพูดว่า "ฉันต้องการนี่แหละ สีนี้ช่างเหมาะเจาะจริง"

วันนั้นริดลี่จึงกลับบ้านไปพร้อมกับหญิงผู้สวมชุดสีม่วงคนนั้น ในบ้านนี้ริดลี่จะถูกขังอยู่ในกรงเล็กๆสีม่วงที่ตกแต่งไปด้วยสายระโยงระยาง จนทำให้ริดลี่ไม่มีที่ทางเพียงพอแม้จะกระพือปีก ในถ้วยอาหารของริดลี่ก็มีเพียงเมล็ดพืชแห้งๆ หญิงผู้สวมชุดสีม่วงไม่เคยเล่นกับริดลี่เลย ไม่เคยพูดด้วย และริดลี่ก็ไม่เคยได้รับแม้แต่ของเล่นสักชิ้นเดียว

ทุกๆวันจะมีผู้หญิงอีกคนมาทำหน้าที่ดูดฝุ่นที่ใต้กรงของริดลี่ พร้อมกับบ่นเรื่องความสกปรกที่อยู่ใต้กรง เสียงของเครื่องดูดฝุ่นทำให้ริดลี่รู้สึกอยากอาบน้ำ ริดลี่จึงพยายามที่จะอาบน้ำในถ้วยน้ำดื่มเล็กๆที่แขวนอยู่ในกรง แต่ริดลี่ก็ทำได้เพียงแค่ทำให้หน้าเปียกเท่านั้น ริดลี่พยายามสบัดน้ำเพื่อให้น้ำได้โดนปีก แต่ละอองน้ำที่กระเด็นไปทั่วนั้น กลับยิ่งทำให้หญิงขี้บ่น บ่นดังขึ้น..ดังขึ้น

แม้ลูกชายของหญิงขี้บ่นจะแนะนำว่า "ริดลี่ควรได้กินผัก" แต่หญิงขี้บ่นก็ไม่ต้องการที่จะทำความสะอาดคราบมันเทศ ที่อาจตกลงมาเลอะเปื้อนพรมสีขาว ของหญิงผู้สวมชุดสีม่วง

ริดลี่ที่ขณะนี้มีชีวิตเหมือนติดคุกได้อยู่รับใช้หญิงผู้สวมชุดสีม่วงมาเป็น เวลานาน จนกระทั่งวันหนึ่งภาระกิจของริดลี่ก็หมดลง เมื่อริดลี่เริ่มดึงถอนขนที่บริเวณขาของตัวเอง และในวินาทีที่หญิงผู้สวมชุดสีม่วงเริ่มสังเกตุเห็นผิวหนังที่ปราศจากขนของ ริดลี่ เธอก็ร้องเสียงหลง "ไม่ ไม่ ไม่ มันน่าเกลียด เอามันไปให้พ้น"

เพราะหญิงผู้สวมชุดสีม่วงไม่เคยรู้ซึ้งถึงความงาม ริดลี่จึง...ถูกทอดทิ้ง

เจ้าของคนใหม่ของริดลี่คือกาบี้ กาบี้เป็นลูกชายของหญิงขี้บ่น กาบี้พยายามที่จะเป็นเพื่อนกับริดลี่ เขาซื้อกรงใหญ่ๆให้ริดลี่และซื้อของเล่นให้ด้วย กาบี้ให้ริดลี่กินมันเทศนึ่งโดยไม่เคยกังวลเรื่องความสกปรกบนพรม แต่ช่างน่าเศร้าเหลือเกิน..เพราะริดลี่ได้ลืมเลือนไปเสียแล้วว่า ความผูกพันแบบเพื่อนนั้นมันเป็นอย่างไร

ริดลี่โยกตัว แล้วริดลี่ก็ฉก แต่ที่มากไปกว่านั้น ริดลี่หวีดร้องมากขึ้น..มากขึ้น และทุกครั้งที่ริดลี่หวีดร้อง กาบี้จะวิ่งเข้ามาที่กรงพร้อมกับตะโกน "หยุดนะ..ไม่งั้นเจ้าของบ้านก็จะไล่เราออกไปนอนนอกถนนแน่" แต่ริดลี่กลับชอบกับการที่กาบี้ร่วมวงตะโกนอย่างนี้ ดังนั้นริดลี่จึงหวีดร้องตะโกนมากขึ้น มากขึ้น

ในที่สุด...การอยู่ร่วมกันระหว่างริดลี่กับกาบี้จึงไม่ยาวนาน เมื่อการตะโกนใส่กันนั้นได้นำพามาซึ่งเจ้าของบ้านเช่า "ฉันยอมแพ้.." กาบี้กล่าวขึ้น "ถ้าเธอไม่ยอมหุบปาก เราก็คงไม่รู้จะทำไงได้ต่อไปแล้ว.."

เพราะกาบี้ไม่รู้วิธีที่จะคิดขอความช่วยเหลือจากที่ปรึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมนก กาบี้จึง...ทอดทิ้งริดลี่


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่

คราวนี้ชีวิตของริดลี่จบลงด้วยการอาศัยอยู่ในกระต๊อบเล็กๆที่ไหนสักแห่งกับ บัส บัสทำงานบนถนนที่มียวดยานเสียงดังและบัสมีก็เพื่อนบ้านที่ไม่มีใครแยแส เรื่องเสียงดัง ของนกกระตั้ว ส่วนตัวของบัสเองก็กลับจะรู้สึกภูมิใจที่บางครั้งริดลี่จิกกัด ดังนั้นทุกครั้งเมื่อริดลี่พุ่งเข้าใส่ใครที่เข้าใกล้ บัสก็จะหัวเราะและพูดว่า "ระวังนะริดลี่จะฉีกจมูกคุณ...ริดลี่เป็นกระตั้วนักฆ่าของฉัน"

ริดลี่ไม่ค่อยจะมีความสุขนักในบ้านหลังนี้ เพราะขนของริดลี่เต็มไปด้วยคราบความสกปรก ทั้งคราบมันของมันฝรั่งทอดและคราบแฮมเบอร์เกอร์ที่บัสยื่นให้ริดลี่กิน ไม่นานนักริดลี่ก็เริ่มป่วย เหนื่อยล้าและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แล้วริดลี่ก็ดึงถอนขนตัวเองมากขึ้น มากขึ้น

ในที่สุด แฟนของบัสก็ดุบัสและบอกให้บัสพาริดลี่ไปหาหมอที่รักษานก

หมอบอกว่า..ริดลี่ผอมมากและมีปัญหาการติดเชื้อ ดังนั้นหมอจึงแนะนำให้ริดลี่รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล บัสเองก็เห็นด้วย แล้วบัสก็เดินจากไปและไม่เคยกลับมาอีกเลย บัสหมดความพึงใจกับเพื่อนที่เขาเรียกว่า"นักฆ่า" กระตั้วที่ดึงถอนขนตัวเองผู้ผอมโซและอ่อนแอ

บัสรู้เรื่องความเข้มแข็งน้อยเหลือเกิน ดังนั้นบัสจึง...ทอดทิ้งริดลี่


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

ใหม่ ใหม่

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ที่โรงพยาบาลได้ผู้ช่วยสัตวแพทย์หญิงคนใหม่เข้ามาทำงานกับหมอ หมอจึงเล่าให้เธอฟังถึงเรื่องของริดลี่ นกคนไข้รายพิเศษที่ถูกเรียกขานว่า "นักฆ่า" กระตั้วผู้ถูกเจ้าของทอดทิ้ง

"หมอได้ดูแลสุขภาพของนกตัวนี้จนปราศจากการติดเชื้อแล้ว แต่ดูเหมือนนกยังต้องการการดูแลและต้องการความรักอันอ่อนโยนอยู่มาก" หมอกล่าว

หญิงสาวกล่าวตอบหมอว่า "เมื่อฉันเป็นเด็กฉันก็เลี้ยงนกกระตั้ว เขาเป็นนกที่แม่หามาให้ เราอยู่ด้วยกันนานแต่ในที่สุดแม่ก็ได้ยกนกให้คนอื่นไป หากเป็นไปได้ฉันก็หวังให้แม่ยกเครื่องประดับอื่นๆที่มีให้คนๆนั้นไปมากกว่า"

"อื่ม..งั้นคุณก็คงเหมาะที่จะดูแลนกตัวนี้" หมอพูดตอบ "แต่มันก็คงไม่ง่ายนักนะที่จะทำให้นกตัวนี้กลับมาวางใจมนุษย์อีกครั้ง"

หมอพาพนักงานคนใหม่ไปยังห้องพยาบาลที่อยู่ด้านหลัง ในห้องนั้นเธอได้เห็นนกกระตั้วที่ตกอยู่ในสภาพดึงถอนขนตัวเอง ผอมและสกปรก ส่วนริดลี่ก็ได้แต่่จ้องดูผู้มาเยือนด้วยสายตาที่ปราศ จากความรู้สึกใดๆ

"น่าเศร้าเหลือเกิน" หญิงสาวกล่าว เขาดูไม่เหมือนนกกระตั้วตัวใหญ่ของฉัน "กระตั้วไอสครีมซันเดย์ ที่มีลูกพีชและครีมลาดหน้า" ด้วยคำพูดที่น่าอัศจรรย์นี้ ริดลี่จึงยกหงอนที่หัวขึ้นพร้อมกางปีกที่รุ่งริ่งคู่นั้นออก

"ริดลี่" เรน่าถึงกับร้องไห้ "นั่นริดลี่"

หมอได้มองเห็นภาพสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า ดังนั้นหมอจึง...ทอดทิ้งริดลี่

ในที่สุด...ริดลี่ก็ได้กลับบ้านกับเรน่า แม้ในปีแรกๆนั้นการปรับตัวต่างๆมันแสนจะยากเย็น แต่เรน่าและลูกชายของเธอได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับนกกระตั้ว

ความรัก ความงาม พฤติกรรมนก ความเข้มแข็งและสิ่งมหัศจรรย์

ในที่สุดเรน่าก็ไม่ทอดทิ้งริดลี่อีกต่อไป

------------------------------

credit: cookietalkie


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)


ใหม่ ใหม่

หวังว่าจะมีคนอ่านบ้างนะคะ ไม่ตอบกลับก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยขอแค่ข้อมูลและเรื่องต่างๆที่ถ่ายทอดนี้จะเป็นแนวทางในการซื้อนกได้บ้างไม่มากก็น้อย


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)

Summer

เศร้า จัง    พี่ก้อ มีกระตั้ว  จะเพิ่มการเอาใจใส่เค้าให้มากเดิมจ้า

สัญญา
:-D  :-D  :-D  :-D  :-D  :-D  :-D  :-D  :-D  :-D :pint:  :roll:

THEMOON

เศร้าจังครับ....ดูคลิปแล้วเศร้าสุดๆเลย........

yungying


Guest

อ่านแล้วเศร้าจังครับ ช่วยๆกันดูแลสัตว์เลี้ยงของตัวเองให้ดีเน๊อะ

ใหม่ ใหม่

อ่านแล้วรักกระตั้วหรือนกที่บ้านกันให้มากๆนะคะ :-D


อายุไม่ใช่ชี้ค่าความเป็นคน

คนบางคนโตแต่ร่างกายก็มี :)