เรื่องสำคัญสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยง (โดยเฉพาะนกสวยงาม)

เริ่มโดย Pon, พฤษภาคม 31, 2008, 02:41:07 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

ด.ช.หาด

ถ้าผมจำไม่ผิดเคยมีผู้อวุโส เล่าให้ผมฟังเรื่องการเลี้ยงสัตว์ที่รัฐบาลให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ในประเทศไหนผมก็จำไม่ได้ที่มาเล หรือไงนี่แหละครับ กฏหมายเค้าไม่ออกแนวโหดแบบนี้เลย ใครพอทราบช่วยบอกรายละเอียดหน่อยครับ
หนึ่งในสมาชิก แก๊งค์ "จู้ฮุกกรู"

kitty75

สภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การเลี้ยงนกสวยงามยังซบเซา ห่วงเรื่องปากท้อง ไม่มีอารมณ์จะเลี้ยงนกแพงๆ แค่เลี้ยงเอาไว้แก้เหงาแก้กลุ้มกัน แต่ถ้ามีมาตรการแบบนี้ ผมว่าบ๊ายบายดีกว่า
แต่เชื่อผมเถอะ เมืองไทยทำไม่ได้หรอก คนมีเหรอ?? งบประมาณมีเหรอ?? เก็บแรง เก็บหัวสมองไปพัฒนาชาติบ้านเมืองไม่ให้มันตกต่ำอย่างทุกวันนี้เถอะพ่อคู้น!!!!!!

kitty75

ดูทีวีเปล่าครับ อัตราความมีความสุขในอาเซี่ยน คนไทยมีความสุขมากกว่าประเทศพม่าเพียงประเทศเดียว อนิจา นี่หรือประเทศไทยที่หลายคนถวิลหา????

Jubsy

ค่าใช้จ่ายแพงขนาดนี้ ค่าปิดหู ปิดตา ปิดปาก ก็คงเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว เฮ้อ
Owned by a Goffin, a Sun conure and a Senegal.

ลุงน้อย

พอเราจะหาอะไรทำที่บ้านบ้าง ดีกว่าปล่อยไว้เฉยๆ ดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง มีนโยบายแปลกๆขึ้นมาอีกแล้ว  
ในส่วนดี มีอยู่บ้าง แต่ขอให้คิดดีๆก่อน  คนเขาอยากเลี้ยงติดบ้านไว้ 1-2 คู่ จะเข้าข่ายหรือไม่

น่าจะมีรายละเอียดให้ชัดเจนกว่านี้  อีกทั้งการเลือกปฏิบัติ เส้นใหญ่รอด ปลาซิวปลาสร้อย กินเรียบ
ลุงน้อย แสนดี. 555

C_tan

เรามาดูกัน ว่าจะเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง เมื่อประกาศใช้ขึ้นมา

1.ผู้ที่มีนกอยู่ก่อนแล้ว ต้องไปแจ้งครอบครอง(ภายในเวลา 90 วัน) และให้ถือใบแจ้งเป็นใบอนุญาตให้ครอบครองจากทางรัฐ  นั่นน่าจะหมายความว่า ไม่ต้องยื่นขอใบอนุญาตครอบครอง(ใบละ10,000 อีกแล้ว)

2.แต่ใบครอบครองที่ว่านั้น มิได้ครอบคลุมไปถึงการอนุญาตให้เพาะขยายพันธ์นะครับ  ถ้าต้องการ น่าจะต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ออกมาตรวจสอบความพร้อมของสถานที่ และจำนวนนกทั้งหมด รวมทั้งทำเครื่องหมายด้วย  

           งานนี้ต้องมีค่าใช้จ่ายสำหรับเจ้าหน้าที่ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร เบี้ยเลี้ยง ฯลฯ ในอัตราที่รัฐกำหนดไว้
           รวมทั้งค่าทำเครื่องหมายประจำตัวนกอีกตัวละ 1,000 บาท

3.เมื่อเพาะออกมาได้แล้ว ต้องไปแจ้ง และอาจจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบด้วย  (ไม่แน่ใจว่าส่วนนี้จะมีค่าใช้จ่ายด้วยหรือไม่ )

4.เพาะแล้วจะเอาไปไหนละครับ  ถ้าจะขาย  ใบอนุญาตสำหรับขาย อีกใบละ 10,000 บาท ครับ

5.ถ้าเป็นการขายภายในเขต/จังหวัดเดียวกัน ก็โอเค  แต่ถ้าข้ามเขต ใบอนุญาตเคลื่อนย้าย เพื่อการค้า ใบละ 1,000 ครับ

6.หรือถ้าต้องการส่งออก ใบอนุญาตละ 10,000 ครับ


ทั้งหมดนั้น เป็นการทำตามขั้นตอนแบบถูกต้องตามกฎหมาย


(ยังมีต่อ)

C_tan

แต่ ที่นี่ คือประเทศไทย !!!   สิ่งที่น่าจะเกิดขึ้น คือ

1.ผู้ที่มีนกอยู่ก่อนแล้ว และทราบข่าวนี้ ก็จะไปแจ้งครอบครองกันเป็นแถว  เพราะไม่มีใครอยากจะทำผิดกฎหมาย และ อาจจะได้รับโทษด้วย

2.ผู้ที่ไม่ได้ไปแจ้ง จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่  อาจมีความวิตกกังวลอยู่บ้าง  แต่....จะไม่มีใครไปขอตรวจจับ เพราะกำลังของเจ้าหน้าที่มีน้อยมาก  ยกเว้น ในกรณีที่โดนเพื่อนบ้านร้องเรียน

3.ผู้ที่จะไปยื่นขอใบอนุญาตเพื่อเพาะขยายพันธ์ เพื่อขาย และส่งออก  คือ ผู้เลี้ยงนกในระดับฟาร์มใหญ่ยักษ์จริงๆ  ซึ่งก็ไม่ได้มีจำนวนมากมายนัก



สำหรับผู้เลี้ยงนกรายย่อย หากไม่เลิกไปเลย เพราะกฎระเบียบที่ทำตามได้ยาก รวมทั้งค่าครองชีพที่สูงขึ้น  เมื่อเพาะนกออกมาได้แล้ว สิ่งที่ทำได้คือ ขายเอง หรือ ขายส่งให้ร้านค้า/ฟาร์ม ที่มีใบอนุญาต

การขายเอง แบบเถื่อนๆ จะได้ราคามากน้อยแค่ไหน ลองคิดดูนะครับ
ส่วนผู้ที่มีใบอนุญาตให้ขาย จะมีต้นทุนที่สูงขึ้น จะมีคู่แข่งขันที่ลดลง

แล้วผู้ซื้อละครับ มีใครบ้าง

ผู้ซื้อภายในประเทศ  สำหรับคนเลี้ยงนกรายใหม่ น่าจะมีจำนวนน้อยลง เพราะซื้อไปแล้ว ต้องไปขอใบอนุญาตครองครองด้วย ( ????)  และยังไม่นับรวมเอาปัญหาเศรษฐกิจ ที่นับวัน จะหนักหนาขึ้นทุกที

ผู้ซื้อต่างประเทศ  ปัญหามีอยู่ว่าโรคไข้หวัดไก่ที่มีมาสามสี่ปีแล้วนั้น จะมีต่อไปอีกสักกี่ปีก็ไม่รู้  และประเทศปลายทางเขายินยอมให้เข้าไหม  ถึงแม้จะมีการใช้วัคซีน เขาจะยอมรับไหม


(ยังมีต่อ)

C_tan


หากกฎหมายฉบับนี้ ออกมา  เพื่อหวังว่า จะช่วยสนับสนุนการส่งออก  ผมอยากจะขอร้องให้พิจารณาช่วยเหลือ ดูแล ผู้เพาะเลี้ยงรายย่อยด้วยครับ  

หลายๆคน เลี้ยงด้วยความรัก เลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน เลี้ยงเพื่อเป็นรายได้เสริม  หากจะตัดเลข 0 ออกสักตัวสองตัว ในแต่ละอัตราที่กำหนดไว้ ก็จะช่วยให้พวกเขาพอยังคงอยู่ได้นะครับ

และในยามที่ตลาดต่างประเทศมีปัญหา  ผู้เลี้ยงรายย่อยภายในประเทศ ก็ยังคงสามารถแบ่งเบาภาระได้อีกด้วย




aeeprs

การที่จะไปค้าน คนที่ไม่ได้ใช้สมองคิด ก็เหมือ สีซอให้ปูลมฟัง ทางที่ดี ทำแบบท่านทวดว่าครับ คือ ต่อรองค่าธรรมเนียม ขอให้เหลือ 10% จากที่ตั้งเป้าที่จะเก็บก็พอครับ ผมว่าหลายคนคงอยากดำเนินการให้ถูกต้องทั้งนั้นครับ

coco

เห็นด้วยค่ะน่าจะตัด 0  ออกไปหลายๆตัวหน่อยเห็นใจคนเลี้ยงที่มากด้วยความรัก  จะได้เก็บตังค์ส่วนนั้นไว้ดูแลสัตว์ที่เลี้ยงดีกว่า
นี่มันแอฟริกันเกรย์  หรือแอฟริกันเกเรเนี่ย

ลุงน้อย

แหะๆ  คือผมไม่ทราบจริงๆครับ ว่า นกอะไรบ้างที่จะเข้าข่าย พอจะหาข้อมูลได้ที่ไหนบ้างครับ

แล้วผมมี ริงเน็ค เกรย์ อิเลคตัส โม่งอินเดีย และกระจอกชวา อยู่ในสัตว์ต้องห้ามหรือเปล่าครับ

ที่จริงอยากเลี้ยงนกร้องบ้าง เช่น ซอฮู้ แม่ทะ แต่เห็นว่าเป็นนกคุ้มครอง  เลยมองไปทางฮวยบี๊  จะเข้าข่ายด้วยหรือเปล่าครับ

หวังว่า ไก่แจ้ ไก่บ้าน ไก่ชน คงจะไม่อยู่ในข้อห้ามด้วยนะครับ ไม่งั้น ต้องพาไปฝังไมโครชิบกันทุกตัว เหมือนสุนัข และ แมว   แล้วจะทำให้ราคาไก่สูงขึ้นไปกันใหญ่  :-)
ลุงน้อย แสนดี. 555

batman

ขอโทษครับขอถาม ?  ที่ว่าเลิฟเบริ์ดหน้าส้ม เท่านั้นหรือ หมายถึงเหมารวมนกเลิฟเบริ์ด สีอื่นๆไหมอะครับ คราวนี้ถ้าเราเพาะลูกนกออกมา 1 ครอกได้ 4 ตัว จะโดนตัวละเท่าใดครับ

เพราะเท่าที่ทราบตอนนี้นกเลิฟเบริ์ดนกล่างประเภทนกรุ่นเก่าที่เราเลี้ยงก่อนไข้หวัดนกนั้น บางที่เขาเหมาว่านกล่างคือ ราคานกตั้งแต่ 100 -500  บาท  
เพราะนกหัวครอบ กลุ่ม โอพาลีน Opaline ราคาจะสูงกว่าครับ

นกเท่าที่ทราบราคาที่ใกล้เคียงกันก็มีนกซีบร้าฟิ้นซ์ กระจอกชวา เลิฟเบริ์ด หงส์หยก ฮอลแลนด์

และถ้ามาเก็บตรงโน้นหน่อนตรงนี้หน่อย ผมว่าอนาคตคงจะมีนกพวกตระกูลปากขอเล็กๆเช่น เลิฟเบริ์ด และ นกหงส์หยก บินแทนที่นกกระจอกบ้านเราเป็นแน่แท้  
         ราคาข้าวนก ตอนนี้ก็ แพงๆๆๆๆๆๆ    ในอนคตคงต้องเลี้ยงน้องนกแทนครับ  

และ ที่สำคัญ คนที่เสนอแนวคิดผมว่าน่าจะรณรงค์ให้เราหันมาเลี้ยงนกกระจอกแทน ฮา ๆ  555   ถือเป็นสัตว์เศรษฐกิจแทน ผมว่าคงจะฮากลิ้ง ๆๆๆๆ
รักเธอเสมอ

C_tan


เมื่อพูดถึงค่าธรรมเนียม
ผมมีความเห็นเหมือนกับอีกหลายๆท่าน ว่าทำไมมันถึงต้องมากมายขนาดนั้นละครับ  เงินที่ได้เอาไปไหนละครับ  คงไม่ใช่เป็นค่าบริการหรือเบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่หรอกนะครับ เพราะส่วนนั้นมันอีกต่างหาก ที่จะต้องจ่ายกัน

การกำหนดค่าธรรมเนียมซะสูงลิบ  สุดท้ายก็จะได้แต่รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย  แต่ถ้าลดลงมาเหลือแค่ 10 % มันมีความเป็นไปได้มากกว่านะครับ ที่จะกวาดหมด รายเล็กรายน้อย รวมๆกันแล้ว อาจมากกว่าซะอีก

คิดกันเล่นๆนะครับ ว่า ถ้า เป้าหมายหลักคือเพื่อการส่งออก  เป้าหมายรอง คือ กวาดรายย่อยออกจากระบบ(ทั้งด้านกฎหมาย และ การค้า )

อย่าลืมว่า ประเทศที่มีศักยภาพในการเพาะนกส่งออกได้ มิได้มีแต่ไทยเท่านั้น ยังมี  จีน สิงคโปร์ ไต้หวัน ฟิลิปินส์  ฮอลแลนด์  และอื่นๆ อีกมาก  รวมทั้งแน่ใจแล้วหรือครับ ว่า ความรู้ วิทยาการ  ในเรื่องการเพาะเลี้ยงนกของเรา มีมากเพียงพอ ที่จะไปสู้กับเขาได้

การทำฟาร์มนกร้อยคู่ในสถานที่แห่งหนึ่งได้ผล มิได้หมายความว่า จะไปทำพันคู่ในอีกที่หนึ่งแล้วจะได้ผลมากเป็นสิบเท่านะครับ

ยิ่งมากคู่เท่าไหร่ ผลผลิตต่อคู่จะยิ่งลดลงมากเท่านั้นครับ

และอีกเรื่องที่เคยพูดไปแล้ว คือโรค ไข้หวัดไก่ ครับ








C_tan


สำหรับตัวของผมเอง  กฎหมายนี้ออกบังคับใช้เมื่อไหร่  ก็จะตัดสินใจไม่ยากครับ ที่จะเดินหน้า หรือจะถอย  เพราะนกที่มีอยู่ มีแค่ไม่กี่คู่เท่านั้นเอง  รวมทั้งเป้าหมายหลักของผม ได้เปลี่ยนไปแล้ว เป็นเลี้ยงนกที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองค่าอาหารอีกต่อไป



C_tan

อ้างถึงหลักเกณฑ์ และวิธีการขออนุญาต เงื่อนไข การขออนุญาต อายุของใบอนุญาตและชนิดของสัตว์ป่าที่อนุญาตให้ค้าได้ ให้เป็นไปตามระเบียบของคณะกรรมการ

หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต การอนุญาต และแบบของใบอนุญาตให้เป็นไปตามที่กำหนดในกฎกระทรวง


หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาต และการอนุญาต และชนิดของสัตว์ป่าตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนด โดยได้รับความเห็นชอบของคณะกรรมการ



เกือบจะทุกมาตราของข้อกฎหมายที่จะบังคับใช้  จะมีข้อความที่อ้างถึงข้างบนแปะท้ายไว้ด้วย

นั่นหมายความว่า ใครก็ตาม ที่อยากจะเข้าไปอยู่ในกรอบระเบียบของกฎหมาย มิใช่ว่า มีเงินจ่ายค่าธรรมเนียมก็จบนะครับ  มันยังมีกฎ มีเงื่อนไข รออยู่อีกด่านนึง  คือ เงื่อนไขของคณะกรรมการ เงื่อนไขของกฎกระทรวง  ครับ




อ้างถึงมาตรา 92 ผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีแต่ไม่เกินเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทแต่ไม่เกินหนึ่งแสนสี่หมื่นบาท
การกระทำตามวรรคหนึ่ง หากผู้ใดปล่อยสัตว์ป่านั้นเข้าสู่สภาพธรรมชาติหรือสถานที่ใด ๆ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปี แต่ไม่เกินสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทแต่ไม่เกินสามแสนบาท




สรุป ไม่มีใบอนุญาตครอบครอง ,เพาะ  จำคุก 3-7 ปี ปรับ หกหมื่น - แสนสี่หมื่น
ปล่อยนกเข้าป่า อาจโดนจำคุก 5-15 ปี ปรับ หนึ่งแสน-สามแสน


จำตอนไข้หวัดไก่รอบแรกได้ไหมครับ
มีนกปล่อยหน้าตาเปลกๆเยอะเลย
กฎหมายนี้จึงออกมาดักคอกันไว้เลย
ห้ามปล่อยนะเฟ้ยยยยยย........   โทษหนัก

ว่าแต่ว่า...จะไปจับมือใครดม  และ จะเอาใครไปดม ว่าหน้าไหน ใคร  คือ คนปล่อยนกนะขอรับ  :-D