ว่าด้วยเรื่อง การปลูก ผลไม้ ให้นก(และคนด้วย) สำหรับท่าน ที่พอมีพื้นที่ ปลูก

เริ่มโดย naþat³, กุมภาพันธ์ 11, 2010, 01:44:08 หลังเที่ยง

หัวข้อก่อนหน้า - หัวข้อถัดไป

0 สมาชิก และ 1 ผู้มาเยือน กำลังดูหัวข้อนี้

naþat³

ว่าด้วยเรื่อง ผลไม้อาหารนกแล้ว ถ้าสำหรับท่านที่เลี้ยง นกอยู่ ตัวสองตัว คงจะไม่มีปัญหาเท่าไร เรื่องค่าใช้จ่าย ที่จะต้อง ซื้อหา ผลไม้อาหาร นก มากนัก แต่ สำหรับท่านที่ เลี้ยง เยอะๆ หลายๆคู่  ย่อมจะรู้เลยว่า ค่าผลไม้นกนั้น เดือนๆ นึง  คิดออกมาแล้ว เป็นมูลค่าที่สูงมิใช่น้อย ถ้าระดับเป็นฟาร์มนก คงเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ
ซึ่งเป็นที่รู้กันในหมู่ นักทำ ปศุสัตว์ส่วนใหญ่ว่า ต้นทุน เรื่อง ค่าอาหารนั้น เป็นต้นทุน รองลงมาจาก ค่าใช้จ่ายเรื่อง พ่อแม่พันธุ์ หรือพันธุ์ ปศุสัตว์ ซึ่งบางทีอาจจะมากกว่า มูลค่า ของตัวปศุสัตว์ด้วยซ้ำไป โดยส่วนมาก ผู้ที่เลี้ยง ปศุสัตว์ ส่วนใหญ่ จึงมักจะ ทำแปลงหญ้า ปลูกไว้เพื่อให้ปศุสัตว์ กินเป็นอาหาร ข้อดีคืออาหารไม่ขาดแคลน และสามารถควบคุมคุณภาพของอาหารสัตว์ได้ และต้นทุนถูกกว่าที่จะซื้อเข้ามาจากแหล่งอื่น
 ผมจึงมีความคิดว่า อย่างเราๆ ที่เลี้ยงนกนั้น ก็มีผลไม้บางชนิด ที่ ปลูกง่าย ตายยาก ผลผลิดดี โดยที่ไม่ต้องดูแลกันมากมาย และยังเป็น อาหาร ที่ให้กันเป็นหลักๆ ของนกอีกด้วย เผื่อว่า ท่านผู้เลี้ยงนก ทั้ง เลี้ยงอยู่น้อย หรือ เลี้ยงอยู่มาก ท่านไหน จะลืม นึกถึง จุดนี้ไป ซึ่งถ้าทำได้ จะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้พอสมควรที่เดียวครับ
จึงอยากจะ บอกกล่าว เชิญชวน ท่านเพื่อนๆสมาชิก ที่พอจะมี พื้นที่หลังบ้าน ข้างบ้าน หรือยังพอมีพื้นที่ยังว่างๆจะได้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ มาปลูก ผลไม้ ให้ นก กินกันดีกว่าครับ สามารถประหยัด ค่าใช้จ่าย สำหรับผลไม้ นก (ทั้งนกและคน)ได้ อีกทั้ง ปลอดภัย จากสารฆ่าแมลงและ เคมีภัณฑ์ การเกษตรได้ อย่าง 100% ด้วยครับ
พืช ผลไม้ ที่ผม จะแนะนำ ต่อไปนี้ ผมจะเสนอที่ ปลูกง่าย ตายยาก สำหรับท่านที่ ไม่มีเวลามากนัก (หรือ ขี้เกียจ แบบผม) ที่จะดูแล แต่หวังจะได้ ผลผลิต มาทานกันได้ นะครับ


เริ่มจาก ชนิดแรก กล้วย น้ำว้า แบบบ้านๆ นี่ล่ะครับ ปลูกง่าย ครับ แค่ท่าน หาหน่อพันธุ์ จากบ้านเพื่อนของท่าน พบเจอที่ไหนก็ขอเค้ามา ขุดๆปลูกๆไป ไม่นานนัก ท่านก็จะ มีกล้วย ไว้ ให้นก กินได้ โดยไม่ต้องเสียเงินในกระเป๋า แค่คอยรถน้ำตอนช่วงออกตัวปลูก เท่านั้นเอง ถ้าเริ่มปลูกใน ฤดูฝนยิ่งดีใหญ่ น้ำไม่ต้องรด สบายไปหลายเปาะ  

มาดูข้อมูลวิธีปลูกของ เกษตรกร ตัวจริงกันครับ
วิธีการปลูก
1. ควรปลูกในช่วงต้นฤดูฝน
2. ควรขุดหลุมปลูกให้มีขนาดกว้างและลึกประมาณ 50 ซม.
3. ผสมดินปุ๋ยคอกเล็กน้อย วางหน่อกล้วยลงในหลุม
4. กลบดินที่เหลือลงในหลุม
5. กดดินบริเวณโคนหน่อกล้วยให้แน่น
6. ปักไม้หลักและผูกเชือกยึด เพื่อป้องกันลมโยก
7. หาวัสดุคลุมดินบริเวณโคนต้น เช่นฟางข้าว หญ้าแห้ง
8. รดน้ำให้ชุ่ม
การดูแลรักษา
การใส่ปุ๋ย
1.ใช้ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 15- 15-15 อัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น/ปี โดยแบ่งใส่ 4 ครั้ง ดังนี้
ครั้งที่ 1 ใส่หลังปลูก 1 สัปดาห์
ครั้งที่ 2 ใส่หลังจากครั้งที่ 1 ประมาณ 3 เดือน
ครั้งที่ 3 ใส่หลังจากครั้งที่ 2 ประมาณ 3 เดือน
ครั้งที่ 4 ใส่หลังจากครั้งที่ 3 ประมาณ 3 เดือน
การตัดแต่งหน่อ หลังจากปลูกประมาณ 3 - 4 เดือน จะมีหน่อขึ้นมารอบๆ โคน ให้ตัดไปเรื่อยจนกว่าจะเริ่มออกปลี จากนั้นก็ให้ไว้สัก 1 - 2 หน่อ โดยหน่อที่ 1 และ ที่ 2 ควรมีอายุห่างกันประมาณ 4 เดือน เพื่อให้ผลกล้วยมีความอุดมสมบูรณ์ โดยเลือกหน่อที่อยู่ในทิศทางที่ตรงกันข้าม
การตัดแต่งใบ ควรทำการตัดแต่งช่วงที่ต้นเริ่มโตจนถึงเก็บเกี่ยว โดยเลือกใบแก่และใบที่เป็นโรคออก ตัดให้เหลือประมาณ 7 - 12 ใบ เพื่อป้องกันต้นกล้วยโค่นช่วงออกปลี เพื่อใช้ใบปรุงอาหาร และเพิ่มความเจริญเติบโตของผลกล้วย

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

naþat³

อีกชนิด คือ มะละกอ แนะนำ  มะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ ครับ เป็นมะละกอพันธุ์ ที่กำลังได้รับความนิยม มีลักษณะเด่นคือ ไม่มีกลิ่นยาง เนื้อหนา รสหวาน เปลือกหนา ทนทานต่อโรค เพาะปลูกง่าย  ออกลูกดก ใช้เนื้อที่ในการปลูกน้อย รสชาติดี นกชอบทาน ครับ ถ้าท่านไหนที่เคย ปลูกมะละกอ จะรู้ว่า มัน ปลูกง่าย มากๆ ผมหว่านๆเมล็ดทิ้งไป หลังบ้าน ยังขึ้น เยอะแยะจนต้องถอนทิ้ง น้ำก็ไม่ค่อรดบ้างไม่รดบ้าง เห็น ก็ออกดอกออกผลดี ไม่มีปัญหา ผมคิดว่า เป็น ผลไม้ที่ปลูกง่าย ออกผลง่าย อายุการเก็บผลผลิตนาน โดยหลังจากต้นมะละกออายุได้ 8 เดือนไปแล้ว ก็จะสามารถเก็บผลได้ทุกสัปดาห์ ไปจน 3 ปี ต้นมะละกอจึงจะหมดอายุ ไม่สามารถให้ผลผลิตได้ ก็ตัดทิ้ง แล้วปลูกใหม่ได้ ครับ  ลองปลูกกันดูครับ คุ้มสุดคุ้มจริงๆ ทั้งใช้พื้นที่ในการปลูกน้อย และดูแลง่าย ออกลูกดกมาก ลองชมภาพด้านล่าง เป็น เครื่องยืนยันความดก ของมะละกอพันธุ์ นี้ครับ
เริ่มแรกเลยก็ ไป ซื้อ มะละกอ ฮอลแลนด์ ตาม ซุปเปอร์มาร์เก็ต ตลาดนัด มา เอา เนื้อให้นก รัปประทาน แล้ว เก็บเมล็ดไว้  ผึ่งเมล็ดไว้ในที่ ร่ม(เมล็ดที่ตากแดดจัด จะทำให้การงอก ต่ำ) เพาะ ลง ภาชนะเพาะ

วิธีการเพาะเมล็ด
1. นำเมล็ดมะละกอแช่น้ำ 3 คืน โดยเปลี่ยนน้ำที่แช่บ่อยๆ อย่างน้อยวันละ 3 ครั้ง
2. นำเมล็ดมะละกอมาเพาะในถุงดินที่เตรียมไว้โดยให้ใส่ 3-4 เมล็ด/ถุง
3. รดน้ำให้ชุ่ม ประมาณ 9-10 วัน เมล็ดก็จะงอก
4. ทำการรดน้ำพอชุ่มวันละ 1 ครั้ง

ข้อมูล ของ เกษตรกร ตัวจริง สำหรับท่านที่สนใจปลูก
วิธีการปลูกมะละกอฮอลแลนด์
สามารถปลูกได้ทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นพื้นที่น้ำขัง ดินที่ เหมาะสมมีความเป็นกรดเป็นด่าง 5.5-5.0 ระยะปลูก 2.5x3 เมตร ไร่หนึ่งปลูกได้ 224 ต้น หากปลูกแล้ว ให้น้ำสม่ำเสมอ มะละกอจะให้ผลผลิตที่ดีมาก ปุ๋ยที่ใส่ให้ เริ่มต้นที่ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก สำหรับปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใช้ สูตร 15-15-15  ตาม
ระยะที่ติดผลอ่อน ก่อนการเก็บเกี่ยวใส่ สูตร 13-13-21 ใส่รอบๆ ต้น จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ ต่อต้น
 เมื่อปลูกได้ 7-8 เดือน มะละกอฮอลแลนด์จะสุกแก่ เริ่มเก็บได้ ปริมาณผลผลิต หากดูแลปานกลาง จะได้ผลผลิตราว 5-8 ตัน ต่อไร่  วิธีการเก็บเกี่ยวนั้น เลือกเก็บเฉพาะผลที่สุก 5-10 เปอร์เซ็นต์ คือผิวมีแต้มสีเหลืองเล็กน้อย

ดอกและเพศของมะละกอ (หลักการเลือกต้นพันธุ์)
หลักการผลิตต้นพันธุ์มะละกอฮอลแลนด์นั้น คล้ายกับการผลิตสายพันธุ์อื่นคือ ต้องการให้ได้ต้นกระเทย เพราะคุณภาพดี มะละกอมี 3 เพศด้วยกัน คือ มะละกอเพศผู้ ได้จากต้นที่มีดอกตัวผู้  ช่อของดอกยาวอย่างชัดเจน พบไม่บ่อยนัก  หากพบส่วนใหญ่เขาตัดทิ้ง  อีกเพศหนึ่งคือมะละกอตัวเมีย  ลักษณะของดอกจะอ้วนป้อม ได้ผลอ้วนสั้น  เนื้อไม่หนา  เพศสุดท้ายคือ   เพศกระเทย ดอกออกยาว   ผลที่ได้จากเพศนี้  ผลจะยาว  เนื้อหนา ผู้ปลูกมะละกอต้องการแบบนี้  รวมทั้งเก็บไว้ทำเมล็ดพันธุ์ต่อไป
 หลังปลูกมะละกอได้ 3 เดือน มะละกอจะออกดอก จะมีทั้งดอกตัวเมียและกระเทย ก่อนดอกบาน ผู้ปลูกจะต้องห่อดอกกระเทยด้วยมุ้งหรือผ้าขาวบางๆ  เพื่อให้มีการผสมเกสรตัวเอง และไม่ผสมข้ามพันธุ์กับต้นอื่นๆ เมื่อผลมะละกอสุกแก่ก็นำเมล็ดไปเพาะให้ได้ต้นใหม่   ซึ่งจะได้ผลกระเทย 70-80 เปอร์เซ็นต์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

naþat³

ชมพู่ (ทับทิมจันทร์)
ผมมีต้นชมพู่ ทับทิมจันทร์ ปลูกไว้ที่หลังบ้าน ต้นนึง ปลูกไว้ประมาณ หกปี เศษ โดยที่ แม่ผมซื้อให้ ตอนย้ายมาอยู่ที่บ้านไร่ใหม่ๆ ชมพู่ ต้นนี้ ไม่ได้รับการดูแล รักษา จากผมเลย ตอนแรกปลูกอยู่หน้าบ้านก็ย้ายขุดออกมาปลูกหลังบ้าน เพื่อจะลงไม้ประดับ แต่ก็ ให้ลูก รสชาติหวาน มากๆ  ออกผล ตลอด ออกดกมาก แต่ตามหลักจริงๆ แล้ว เค้าจะนิยมเด็ดทิ้ง ให้ไม่เกิน 3-5 ลูก ต่อช่อที่ออก เพื่อที่จะได้ลูกใหญ่ แต่สำหรับผม ปลูกกินกันเอง เลยปล่อยให้ มัน ออกยังไงก็อย่างงั้น อยากร่วงๆไป บ่ายๆก็เดินๆไป เด็ดๆ ให้นกกิน สบายใจไม่ต้องเสียเงินซื้อ นกอิ่ม คนอิ่ม ชมพู่ต้นนี้ ออกลูกทั้งปี อาจจะลูกเล็ก (เพราะปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดออก) แต่ไม่เป็นปัญหาเพราะ รสชาติดีมาก เอามาแนะนำ เพราะจากประสบการณ์ ที่ไม่เคยดูแล ใส่ปุ๋ย รดน้ำอะไรทั้งสิ้น ก็ออกลูกออกผลดี เป็นที่น่าพอใจ ลองหาซื้อ ต้นพันธุ์มาปลูกกันดูครับ ไม่ผิดหวัง ลองชมภาพด้านล่างดูครับ ถ่ายจากในสวนผมเอง ดูความดกได้ครับ บ่ายๆเดินไปเก็บมา กำมือนึง นกอิ่มไปได้ มื้อนึงเลยครับ

คุณค่าทางอาหารของชมพู่ ในเนื้อชมพู่ 100 กรัม ประกอบด้วยคุณค่าทางอาหารดังนี้
พลังงาน 24 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 0.5 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 5.5 กรัม
แคลเซี่ยม 2 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส 18 มิลลิกรัม
เหล็ก 0.3 มิลลิกรัม
ไวตามินซี 32 มิลลิกรัม


มาดูข้อมูลวิธีการปลูกของเกษตรกรตัวจริงกันครับ
การปลูก หลังจากเตรียมพื้นที่ที่จะปลูกแล้ว ก็ลงมือขุดหลุมปลูกทันที โดยขุดหลุมกว้างประมาณ 1 เมตร ลึกประมาณ 1 เมตร ใส่ปุ๋ยรองพื้นปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักผสมกับปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 คลุกเคล้าให้เข้ากันภายในหลุม นำต้นชมพู่แกะถุงพลาสติกออกลงปลูก หาหลักปักผูกเชือกกันลมโยกต้นจะทำให้ต้นชมพู่ไม่โต ฤดูการปลูกได้ทุกฤดู แต่ที่นิยมปลูกได้แก่ฤดูฝนเพระไม่ต้องดูแลรักษามาก แต่ควรทำทางระยายน้ำกันต้นเน่า แต่ถ้าปลูกในฤดูแล้งควรหาเศษฟางแห้ง หรือหญ้าแห้งคลุมโคนต้นป้องกันความชื้นระเหย

การดูแลรักษา
1. การให้น้ำ
ระยะเริ่มปลูกใหม่ ๆ ควรให้น้ำวันละ 1 – 2 ครั้ง ตอนเช้า-เย็น จนกว่าต้นชมพู่จะตั้งตัวได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการอุ้มน้ำของดินที่ปลูกด้วย คือถ้าดินเก็บความชื้นได้ดีเช่นดินเหนียว ระยะการให้น้ำ ก็ห่างออกไปอาจจะเป็น 2 – 3 วัน/ครั้ง แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับสภาพการอุ้มน้ำของดินที่ปลูกด้วย คือถ้าดินเก็บความชื้นได้ดีเช่นดินเหนียว ระยะการให้น้ำ ก็ห่างออกไปอาจจะเป็น 2 – 3 วัน/ครั้ง แต่ถ้าปลูกในช่วงฤดูฝนก็ไม่จำเป็นต้องให้น้ำก็ได้ ระยะก่อนให้ผล เนื่องจากชมพู่เป็นไม้ผลที่ต้องการน้ำค่อนข้างมากหลังจากฤดูฝนผ่านไปแล้วควรทำแอ่งน้ำล้อมรอบโคนต้นและให้น้ำจนเต็มแอ่งปล่อยให้น้ำแห้งไปเองจะช่วยยืดระยะการให้น้ำ ระยะให้ผล ควรให้น้ำประมาณ 5 – 7 วัน/ครั้ง ถ้าดินที่เก็บความชื้นไม่ดีการให้น้ำอาจจะต้องดีกว่านี้ เพราะถ้าให้น้ำไม่เพียงพอในช่วงนี้จะทำให้ผลร่วง ผลเล็กไม่สมบูรณ์ ซึ่งจะมีผลทำให้ขายไม่ได้ราคา ก่อนจะเก็บเกี่ยวผลประมาณ 7 วัน ควรงดการให้น้ำจะทำให้ผลชมพู่มีรสหวานอร่อย ซึ่งระยะนี้ถ้าไม่งดการให้น้ำ ผลชมพู่จะมีรสจืดและมีน้ำในผลมาก

2. การให้ปุ๋ย
ระยะต้นเล็ก ควรให้ปุ๋ยคอก เช่น ปุ๋ยมูลค้างคาว หรือปุ๋ยคอกอื่น ๆ รวมกับปุ๋ยสูตร 15-15-15 โดยใส่ครั้งละน้อย ๆ รอบโคนต้นประมาณ 15 วันครั้ง ปัจจุบันนิยมใช้ปุ๋ยมูลหมูหมักแทนปุ๋ยมูลวัว เพราะในปุ๋ยมูลหมูหมักไม่มีเมล็ดวัชพืชติดมากับปุ๋ย และราคาก็ไม่แพงมากนัก ปุ๋ยชนิดนี้ได้จากการเลี้ยงหมู แล้วนำมูลหมูไปทำแก๊ซชีวภาพ ระยะต้นใหญ่ หลังจากต้นชมพู่มีขนาดใหญ่พอสมควรพร้อมที่จะให้ผลแล้วก็เปลี่ยนมาใช้สูตร 8-24-24 เพื่อเร่งการออกดอก โดยใช้อัตราส่วนครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลางทรงพุ่มแปลงเมตรเป็นกิโลกรัม โดยแบ่งใส่ 2 ครั้งห่างกันประมาณ 2 อาทิตย์ โดยใส่พร้อมกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก หลังจากชมพู่ให้ผลแล้ว เปลี่ยนมาใช้ 13-13-21 โดยใช้อัตราส่วนเหมือนกับ 8-24-24 จะทำให้ผลชมพู่มีคุณภาพดีขึ้น นอกจากนี้ต้องใช้พวกธาตุอาหารรองต่าง ๆ ฉีดพ่นประมาณ 7- 15 วัน/ครั้ง การให้ปุ๋ยทางใบ การให้ปุ๋ยทางใบส่วนใหญ่เป็นการให้เสริมจากการให้ปุ๋ยทางดินมีหลักการให้พอสรุปได้ดังนี้
เมื่อต้นชมพู่แตกใบอ่อนช้าหรือแตกใบอ่อนไม่สม่ำเสมอใช้ไทยโอยูเรียอัตรา 100 – 130 กรัม/น้ำ 20 ลิต พ่นให้ทั่วทรงพุ่ม 1 – 2 ครั้ง ห่างกันประมาณ 7 – 10 วัน จะช่วยให้แตกใบเร็วและสม่ำเสมอขึ้น หลังแตกใบอ่อนถ้าใบมีความสมบูรณ์ต่ำไม่เขียวเข้มเป็นมันใช้ 30-20-10 หรือ 30-20-20 ฉีดพ่นอัตรา 20 – 30 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร จะช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ให้กับชมพู่ และจากการวิจัยพบว่าใบสมบูรณ์ 1 ใบ มีคุณค่ามากกว่าใบไม่สมบูรณ์ 10 ใบ ในต้นเดียวกัน ระยะใบแก่ก่อนออกดอก เพื่อช่วยให้ผลแก่เร็วขึ้นและป้องกันการแตกใบอ่อนเมื่อมีฝนตกชุกควรพ่น 0-52-34 อัตรา 100 – 150 กรัม/น้ำ 20 ลิตร 7 – 15 วัน/ครั้ง ระยะชมพู่ออกดอกหรือระยาฝาชีควรพ่น GA ยืดช่ออัตรา 2 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร ผสมอาหารเสริมพวกน้ำตาลกูลโคสจะทำให้ชมพู่มีสีที่สดใสขึ้น

การห่อผลชมพู่
เนื่องจากชมพู่เป็นไม้ผลที่แมลงวันผลไม้ชอบทำลายมากที่สุดพืชหนึ่ง ถ้าไม่มีการห่อผลแล้วโอกาสที่แมลงวันผลไม้ทำลายให้ผลเน่าเสียมีมากกว่า 90 % วิธีการห่อผล ชมพู่เป็นไม้ผลที่ออกดอกครั้งละมาก ๆ หลังจากออกดอกแล้วประมาณ 2 เดือน ก็สามารถห่อผลได้โดยเลือกผลที่สมบูรณ์ไว้ช่อละ 3 ผล ไม่ควรเอาไว้มากกว่านี้ จะทำให้ผลเล็กคุณภาพไม่ดี ผลที่เลือกไว้เป็นผลหรือช่อที่ขั้วชี้ลงด้านล่าง จะเป็นช่อที่แข็งแรงกว่าช่อที่ขั้วหันขึ้นทางด้านบน และควรเป็นช่อดอกที่ออกบริเวณกิ่ง ไม่ควรเอาช่อที่ออกบริเวณปลายกิ่งเพราะจะทำให้ได้ผลที่ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากการลำเลียงอาหารส่งไปได้น้อยกว่าช่อดอกที่ออกบริเวณกิ่ง หลังจากเลือกช่อผลที่ต้องการห่อได้แล้ว ก็ใช้ถุงกระดาษซึ่งจาการวิจัยพบว่าถุงกระดาษที่ทำจากถุงปูนซีเมนต์ ขนาด 6 x 14 นิ้ว ให้ผลดีที่สุด รองลงมาได้แก่ถุงพลาสติกแต่ละสีก็จะให้สีผลชมพู่ต่างกัน ซึ่งจากการทดสอบกับชมพู่เพชรสุวรรณ ชมพู่ทูลเกล้า และชมพู่น้ำดอกไม้พบว่า ถุงสีแดงและสีเหลืองจะให้สีผลที่สดใสและเป็นมันมากกว่าสีอื่น ๆ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

"จิ" พัทยา

สุดยอดมาก น้องบิี๊๊ก  เห็นเนื้อเรื่องแล้ว รีบตอบเลย เพราะโดยส่วนตัวแล้ว หากมี พื้นที่  จะไม่ลังเล ที่จะปลูกผลไม้ เพื่อให้นกเลย

นาย เจ๋งอ่ะ 555555

naþat³

"มะม่วง" อันนี้ น่าจะเป็น ผลไม้สามัญประจำบ้านอยู่แล้ว โตแล้วให้ร่มและบังแดดได้ดี ปลูกง่าย ออกผลง่าย อีกเช่นเคย หาซื้อต้น พันธุ์ ที่เค้าตอนมาขายครับ ยิ่งซื้อต้นใหญ่ก็ยิ่งติดดอกออกลูกเร็ว แต่ถ้าต้นใหญ่ต้องเตรียมหลุมให้ ใหญ่ตามด้วยเพราะ จะช่วยไม่ให้ต้นโค่น ควรค้ำยันอย่างดี รดน้ำ เตรียมดินโดยเอาปุ๋ยคอกรองก้นหลุมผสมกับ ปุ๋ย สูตรเสมอ ขุดให้หลุมใหญ่ สมกับต้นพันธุ์นะครับ และนำดิน ผสม สำเร็จ ใส่ผสมกับดินในพื้นที่แล้วกลบ ค้ำยัน รดน้ำ ไม่นานก็ได้ดอกออกผลได้อย่างไม่ยากเย็นครับ ผมปลูกทิ้งๆ น้ำไม่รด แต่ถึงฤดู ก็ ออกลูกตลอดครับ

มาดูข้อมูลการปลูกของ  เกษตรกรตัวจริงกันครับ

การให้น้ำ
หลังจากการปลูกใหม่ ๆ ถ้าฝนไม่ตกควรรดน้ำให้ทุกวัน และค่อย ๆ ห่างขึ้น เช่น 3-4 วันต่อครั้ง จนกว่าต้นมะม่วงจะตั้งตัวได้ การให้น้ำเป็นสิ่งจำเป็นอย่างหนึ่งในการปลูกมะม่วงเพื่อให้ผลได้อย่างเต็มที่การให้น้ำอย่างเพียงพอตามที่ต้นมะม่วงต้อง การ จะช่วยให้ต้นมะม่วงเจริญเติบโตอย่างสม่ำเสมอ ไม่ชะงักการเจริญเติบโตทำให้ได้ผลเร็วขึ้น การปลูกมะม่วงในที่ที่น้ำไม่ อุดมสมบูรณ์ควรจะกะเวลาปลูกให้ดี ให้ต้นกล้ามะม่วงได้รับน้ำฝนนานที่สุด เพื่อต้นจะได้ตั้งตัวได้ก่อนที่จะถึงฤดูแล้ง หรือการปลูกต้นกล้วยก่อน แล้วจึงปลูกมะม่วงตามลงไปดังที่ได้กล่าวถึงแล้ว ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยประหยัดการให้น้ำได้มาก

การใส่ปุ๋ย
มะม่วงชอบดินที่โปร่ง ร่วนซุย การระบายน้ำและอากาศของดินดี จึงควรใส่ปุ๋ยอินทรีย์ เช่นพวกปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ให้เป็นประจำทุก ๆ ปี เพื่อปรัับปรุงดินให้ร่วนซุยเหมาะต่อการเจริญเติบโตของต้นมะม่วง การใส่ปุ๋ยอินทรีย์อาจใส่ปีละสองครั้งคือ ต้นฝนและปลายฝน ปุ๋ยอิ นทรีย์นี้แม้จะมีธาตุอาหารที่พืชต้องการไม่มากนัก แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อดินในด้านอื่น ๆ นอกจากจะช่วยทำให้ดินดีขึ้น แล้ว ยังช่วยให้ปุ๋ยเคมีที่ใส่ลงไปนั้นถูกนำมาใช้ประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
1 ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เป็นปุ๋ยที่ให้ประโยชน์แก่ต้นพืชอย่างรวดเร็วและมีธาตุอาหารมากกว่าปุ๋ยอินทรีย์ ในดินที่ค่อน ข้างขาดธาตุอาหารจึงควรใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ให้บ้าง จะทำให้ต้นโตเร็ว สมบูรณ์ ให้ดอกให้ผลได้มากและสม่ำเสมอ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์อาจ ให้ตั้งแต่ระยะเป็นต้นกล้า โดยใช้ปุ๋ยแอมโมเนี่ยมซัลเฟต 2-4 ช้อนแกงผสมน้ำ 1 ปี๊บ รดที่ต้นกล้าเดือนละ 2 ครั้ง จะช่วยให้ต้นกล้าโตเร็ว แข็งแรงสามารถนำไปปลูกหรือใช้เป็นต้นตอได้เร็ว และเมื่อนำต้นมะม่วงไปปลูกในแปลงจริง การใช้ปุ๋ยฟฟแสเฟตหรือกระดูกป่นใส่รองก้น หลุมก็จะช่วยให้รากเจริญเติบโตดี ทำให้ต้นตั้งตัวเติบโตเร็ว ส่วนต้นมะม่วงที่โตแล้ว แต่ยังไม่ให้ผล อาจใช้ปุ๋ยวิท ยาศาสตร์สูตร 4-7-5 หรือ 4-9-3 ใส่ให้แก่ต้นเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน สำหรับต้นมะม่วงที่ให้ผลแล้ว อาจใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ซึ่งเป็นสูตร ที่ใช้กับไม้ผลทั่วไป อย่างไรก็ตาม การใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่จะต้องศึกษาเสียก่อนเพื่อให้ได้ผลอย่างเต็มที่ ไม่เกิดการสูญเปล่า เพราะความอุดมสมบูรณ์ของดินและสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ของแต่ละท้องที่ย่อมไม่เหมือนกัน อีกประการหนึ่งต้นมะม่วงเป็นไม้ผลที่มีขนาดใหญ่ รากสามารถหยั่งลึกหาอาหารได้ไกล ๆ ถ้าดินนั้นเป็นดินดี อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหารอยู่แล้วก็อาจไม่ต้องใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์เลยก็ได้ การปรับปรุงดินโดยการใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักอยู่เสมอก็เพียงพอ
2 วิธีใส่ปุ๋ย เมื่อต้นยังเล็กอยู่ ควรใช้วิธีขุดพรวนรอบ ๆ ต้นแล้วหว่านปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก จากนั้นจึงหว่านปุ๋ยวิทยาศาสตร์ตามลงไปแล้วรดน้ำให้ชุ่ม ส่วนในต้นที่โตแล้วอาจใช้วิธีขุดเป็นรางดินรอบต้นภายในรัศมีของทรงพุ่ม ขุดรางดินให้ล ึกประมาณ 6 นิ้ว ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักลงไปในรางตามด้วยปุ๋ยวิทยาศาสตร์ แล้วกลบดิน รดน้ำให้ชุ่ม ส่วนภายในบริเวณทรงพุ่มให้ขุดพรวนเพียงเล็กน้อยแล้วหว่านปุ๋ยเช่นเดียวกัน

การออกดอกของมะม่วง
มะม่วงจะเริ่มออกดอกในราวเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ (ยกเว้นพวกมะม่วงทะวาย) การออกดอกของมะม่วงขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น พันธุ์มะม่วง ความอุดมสมบูรณ์ของต้น และยังเกี่ยวข้องกับสภาพของอากาศอีกด้วย โดยจะเห็นว่า ถ้าปีใดอากาศหนาวเย็นมาก มะม่วงจะออกดอกมาก เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ผู้ปลูกควรได้คำนึงด้วย เพราะจะทำให้การปลูกมะม่วงได้ผลอย่างเต็มที่ กล่าวคือ ควรเลือกพันธุ์มะม่วงที่ออกดอกง่าย สามารถออกดอกได้ทุกปีไม่มีเว้น รวมทั้งการบำรุงต้นมะม่วงให้สมบูรณ์ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่าง หนึ่ง ซึ่งจะได้กล่าวถึงในเรื่องการบำรุงต้นมะม่วงหลังจากเก็บผลแล้ว เมื่อต้นมะม่วงสมบูรณ์เต็มที่ก็จะสามารถออกดอกได้ง่ายกว่าต้นที่ไม่ค่อยสมบูรณ์

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

naþat³

ข้าวโพดหวาน อันนี้ ง่ายมากๆ เตรียมที่ถางหญ้า ขุดพรวนหลุมปลูก หย่อนเมล็ดพันธุ์ หาไม้ มาปักหลุมเพื่อที่จะได้รู้ตำแหน่งรดน้ำ หย่อนเมล็ดพันธุ์ หลุมนึงประมาณ 3-5 เมล็ด กลบดินปักไม้ ช่วงออกตัวแรกๆ ต้องขยันรดน้ำกันหน่อย นะครับ พอต้นเริ่มโต อายุ ประมาณ สองสัปดาร์ ก็ เดิน ดึง ให้ ต้นข้าวโพดในหลุมที่ขึ้นมาเหลือ หลุมละไม่เกินสองต้น แล้วก็คอยรดน้ำ 3-5วันรดที ไม่นานก็ได้ฝักข้าวโพด มา ให้นก ทานกันแล้วล่ะครับ ทั้งนี้ ผมเห็นเป็นพืชที่ปลูกง่ายอีกชนิดหนึ่ง เคยปลูก หย่อนๆ เอาไว้ รดน้ำ อย่างเดียวปุ๋ยก็ไม่ได้ให้ ก็ ออก ฝัก นะครับ อาจจะไม่สวย เหมือนข้าวโพดที่เค้าขาย แต่ นกก็กินกันอย่างอร่อยเหมือนกันล่ะครับ  ผมไปเจอ บทความที่น่าสนใจ จะขอนำเอามาเสนอ ครับ

ข้าวโพดหวาน...นอกจากจะปลูกเพื่อการ  ค้าแล้ว ยังสามารถปลูกไว้รับประทาน เองในสวนหลังบ้านได้อีกด้วย โดย คุณเครือวัลย์ บุญเนิน แห่งกรมวิชาการเกษตร ได้เขียนวิธีการปลูกข้าวโพดหวานไว้ที่สวนหลังบ้านได้อย่างน่าสนใจ สมควรที่จะนำมาถ่ายทอดให้ผู้สนใจได้นำมาปลูกไว้เพื่อรับประทานเอง

คุณเครือวัลย์ บอกว่า การปลูกไม่ต้องใช้พื้นที่มากนัก เริ่มต้นที่ 1 ตารางเมตรขึ้นไปก็ใช้ได้แล้ว แต่ต้องไม่มีน้ำท่วมขังและต้องมีแสงแดดส่องอย่าง น้อย 8 ชั่วโมง/วัน สำหรับพันธุ์นั้นเลือกได้ตามใจชอบหน่วยงานราชการก็มีพันธุ์จำหน่ายเหมือนกันนะ เช่นที่ ศูนย์วิจัยพืชไร่ชัยนาท เป็นต้น โดยที่ข้าวโพดหวานนี้สามารถปลูกได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงที่ให้ผลผลิตสูงและคุณภาพดีควรอยู่ในฤดูหนาวระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม หรือต้นฤดูฝนระหว่างพฤษภาคม-กรกฎาคม นี่ก็ใกล้ถึงแล้ว เอ้าให้เวลาตัดสินใจสัก 2 เดือนเป็นไง

หากตัดสินใจได้แล้วว่าจะปลูกในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้แน่ ๆ คุณเครือวัลย์เลยฝากวิธีการปลูกมาดังนี้ อย่างแรกต้องเตรียมดินก่อน โดยการใช้จอบขุดดินให้ลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วตากทิ้งไว้ 7-10 วัน หลังจากนั้นให้ย่อยดินเป็นก้อนเล็ก ๆ เก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงด้วย ถ้ามีปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกให้ผสมลงไปประมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อพื้นที่ 1 ตร.ม. คลุกเคล้าให้เข้ากันเสร็จแล้วยกร่องเพื่อความสะดวกในการให้น้ำหรืออาจจะไม่ยกร่องก็ได้ไม่เป็นไร

การปลูกให้ปลูกเป็นแถว ถ้ายังไม่ได้ยกร่องให้หาไม้มาขีดเป็นแนวโดยให้แนวห่างกัน 70-75 ซม. แล้วใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 16-20-0 ในดินร่วน ดินร่วนเหนียว หรือสูตร 15-15-15 ในดินร่วนปนทราย ประมาณ    1 ช้อนชา รองก้นหลุมพร้อมกับการ  ปลูก ระวังอย่าให้เมล็ดถูกกับปุ๋ยโดยตรง คือหลังจากหยอดปุ๋ยแล้วควรกลบดินประมาณ 3 นิ้ว แล้วจึงหยอดเมล็ด นำเมล็ดวางตามแนวห่างกันหลุมละประมาณ 20-25 ซม. หลุมละ 1-2 เมล็ด อย่าหยอดให้ลึกเกินไปเพราะเมล็ดจะงอกช้า หรืออย่าหยอดตื้นจนเกินไปเมล็ดมันจะไม่งอกนะจ๊ะ และเมื่อปลูกเสร็จเรียบร้อยแล้วให้รดน้ำให้ชุ่ม ในวันที่ 4-5 หลังจากปลูกแล้วจะได้รับความตื่นเต้นเพราะจะเห็นต้นข้าวโพดงอกออกมา เมื่อข้าวโพดหวานมีอายุประมาณ 10-14 วัน ให้ถอนแยกให้เหลือ 1 ต้นต่อหลุม หรืออาจจะสลับเป็น 2 ต้นต่อหลุมบ้างก็ย่อมได้

เมื่อข้าวโพดอายุ 20 วัน ให้ใส่ปุ๋ยยูเรีย (สูตร 46-0-0) ประมาณต้นละ 1 ช้อนชา หรืออาจจะใช้ปุ๋ยที่เหลือจากการเตรียมดินในปริมาณ 1 ช้อนชาโรยข้างต้นหรือข้างแถว ห่างจากต้นประมาณ 1 ฝ่ามือแล้วพรวนกลบในกรณีที่มีการระบายน้ำได้ดี แต่ถ้า  ข้าวโพดหวานมีลักษณะต้นเตี้ยใบเหลือง ควรใส่ปุ๋ย   ยูเรียอีกครั้งประมาณต้นละ 1 ช้อนชา เมื่อข้าวโพดอายุ 40-45 วัน

การให้น้ำนั้นควรให้น้ำทุก 3-5 วัน และหลังการใส่ปุ๋ยทุกครั้งต้องให้น้ำทันที ควรระวังอย่าให้ขาดน้ำในช่วงผสมเกสรและติดเมล็ดเพราะจะทำให้ ผลผลิตลดลงมาก สำหรับโรคและแมลง  นั้น ข้าวโพดหวานไม่ค่อยจะมีโรคและแมลงรบกวนเท่าใดนัก โรคที่สำคัญได้แก่ โรครา น้ำค้างและโรคใบลาย ส่วนแมลงนั้นได้แก่  หนอนเจาะลำต้นข้าวโพด โดยจะเริ่มเข้าทำลายตั้งแต่ข้าวโพดอายุ 20 วันถึงระยะเก็บเกี่ยว ถ้าพบควรใช้มือจับทำลาย

ระยะเวลาการเก็บเกี่ยวนับว่าเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากจะมีผลเกี่ยวเนื่องกับรสชาติของ ข้าวโพดหวาน เพราะถ้าเก็บข้าวโพดหวานอ่อนเกินไปจะทำให้ไม่หวานเท่าที่ควร และถ้าเก็บช้าเกินไปข้าวโพดหวานก็จะหวานน้อยลงและอาจจะเหนียวและแข็ง ซึ่งระยะเวลาที่เหมาะสมในการเก็บเกี่ยวคือ 18-20 วันหลังออกไหม 50% หรือสังเกตจากสีของไหมจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเข้มและเพื่อความแน่ใจอาจฉีกเปลือกข้าวโพดดูว่าเมล็ดเต็ม เต่ง หรืออ่อนไปหรือไม่ และเมื่อเก็บเกี่ยวแล้วควรรับประทานทันทีหรืออาจเก็บไว้ 1-2 วันในตู้เย็นโดยไม่ต้องปอกเปลือก

สำหรับการต้มฝักสดรับประทานนั้นต้อง  ต้มน้ำให้เดือดก่อนแล้วจึงนำข้าวโพดหวานใส่ลงไป  ทิ้งไว้ประมาณ 5-7 นาที ก็สามารถรับประทานได้และสามารถเพิ่มรสชาติด้วยการจุ่มลงในน้ำเกลือหรือทาเนยก็แสนอร่อยแล้วแต่คนชอบ

ข้าวโพดหวานยังสามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารได้อีกสารพัด....อยากจะปลูกไว้หลังบ้านไหมล่ะ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

naþat³

ต้องขอขอบคุณ เวป ที่มา รูปภาพ ข้อมูลต่างๆ ที่ ผมได้นำมา เสนอ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ ต้องขออภัย ที่จำแหล่งที่มาไม่ได้ เพราะได้ เซพเก็บ ข้อมูลไว้อ่านส่วนตัว มานานแล้ว

จริงๆ แล้ว ยังมีพืช ผลไม้ อีกหลาย ชนิด ที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย ตายยาก และให้ ผลผลิด ดีและดก อีกหลาย ชนิด เช่น ฟักทอง แตงกวา ฝรั่ง ฯลฯ อีกมากมาย และ ยังมี พืช ผักสวนครัว สามัญประจำบ้าน ที่ สามารถ ปลูกได้ง่ายๆ ขิง ข่า ตระไคร้ มะกรูด พริก กระเพรา โหระพา เวลาจะใช้ปรุงอาหาร ก็ แค่ เดินไป เก็บ ประหยัดเงิน ประหยัดเวลา ที่จะออกไป หาซื้อที่ตลาด แล้วแถม ปลอดภัย จากสารเคมีทางการเกษตร อีกต่างหาก ใคร พอจะมี พื้นที่ ว่างๆ หลังบ้าน ข้างๆบ้าน ลองดูนะครับ ปลูกเล่นๆ แต่ ได้ กิน จริงๆ แค่เสียเวลา เล็กๆน้อยๆ คอยรดน้ำ ดูแล บ้างเท่านั้นเองครับ  :lol:  :lol:  :lol:



อ้างถึงimigran เป็นผู้เขียน:
สุดยอดมาก น้องบิี๊๊ก  เห็นเนื้อเรื่องแล้ว รีบตอบเลย เพราะโดยส่วนตัวแล้ว หากมี พื้นที่  จะไม่ลังเล ที่จะปลูกผลไม้ เพื่อให้นกเลย

นาย เจ๋งอ่ะ 555555
55555 ขอคุณมากครับ พี่จิครับ งานพี่ยุ่งๆอยู่ยังอุตส่าห์ มาตอบ อิอิ พอดี นึกๆอะไร ขึ้นมาได้เลยเอามาโพส เผื่อจะ เป็นประโยชน์ได้บ้าง ไม่มากก็น้อย ครับผม


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

P L A thong

โอ้โย่

ถ้าทำแบบนี้ได้ ก็ไม่ต้องไปซื้อผลไม้ให้นกที่บ้านกินแล้ว เงินทองไม่รั่วไหล

คริคริ  ขอบคุณน่ะค่ะ แต่คงปลูกไม่ได้ บ้านเล็กเท่ารูหนู
จงกล้า เพื่ออิสระของชีวิต ทุกสรรพสิ่งเกิดมาเพื่อการอิสระ มนุษย์ยังต้องการ แล้วนกละ คุณเค

coco

นี่มันแอฟริกันเกรย์  หรือแอฟริกันเกเรเนี่ย

samurai

เข้ามาดูมาอ่านแล้ว หิวเลย รูปผลไม้น่ากินมาก

แบบนี้คนกินก่อน นก ค่อยว่ากันทีหลัง 555

naþat³

ขออนุญาติ ฝากรูป ด้วย นะครับผม

ปล. ตอนนี้ มันไม่ได้เขียวแบบในรูปแล้วนะครับ 55555 ยังไง เอาไป บำรุงซัก เดือนนึง ก็ น่าจะ โอเคแล้วครับ

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]

[ไฟล์แนบถูกลบโดยผู้ดำเนินการ]


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ

ด.ช.หาด

หนึ่งในสมาชิก แก๊งค์ "จู้ฮุกกรู"

kitty75

โอ้โห น้องบิ๊กนี่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเอามากๆเลย เห็นแล้วริษยา มีผลไม้ให้นกกินเองโดยไม่ต้องออกไปซื้อเลย อย่างนี้ต้องซื้อที่ดินแถวข้างบ้านปลูกผลไม้สัก1ไร่แล้วดิ แต่ติดอยู่ที่ว่าที่ดินมันไร่ละ8ล้าน ต้องยืมเงินน้องบิ๊กซื้อก่อนนะ เดี๋ยวเก็บผลไม้ได้เงินจะรีบใช้คืนเลย 5555

ด.ช.หาด

อ้างถึงkitty75 เป็นผู้เขียน:
โอ้โห น้องบิ๊กนี่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรเอามากๆเลย เห็นแล้วริษยา มีผลไม้ให้นกกินเองโดยไม่ต้องออกไปซื้อเลย อย่างนี้ต้องซื้อที่ดินแถวข้างบ้านปลูกผลไม้สัก1ไร่แล้วดิ แต่ติดอยู่ที่ว่าที่ดินมันไร่ละ8ล้าน ต้องยืมเงินน้องบิ๊กซื้อก่อนนะ เดี๋ยวเก็บผลไม้ได้เงินจะรีบใช้คืนเลย 5555
ขายนกซื้อเลยเฮีย เงินแค่นี้ไม่กี่ตัวหรอก
หนึ่งในสมาชิก แก๊งค์ "จู้ฮุกกรู"

naþat³

อ้างถึงNoru เป็นผู้เขียน:
 :-)  :-) ต้นไม้พวกนี้ยังปลูกอยู่ไหม คะ เรียก ซานาดู ใช่หรือเปล่าก็ไม่รู้ คล้ายๆหน้าวัว  อยากได้ ฟิโรฯที่ใบใหญ่ๆมากๆคล้ายๆใบ มะละกอ ค่ะ ปลูกแล้ว ให้บรรยากาศป่าๆอะเมซอนดี ข้าหลวงหลังลายนี่ตัดใบขายได้ไหม

ทั้งหมดที่ผมโพส อยู่ใน พืชตระกูล ฟินโลเดนดรอนครับ *(ยกเว้นเฟิร์นข้าหลวงนะครับ)* ตอนนี้ แปลง ที่ ผมลงรูปไว้ ได้กลายเป็นป่า รกชัด ไปแล้วครับ 55555 ปล่อยทิ้งไว้แบบนั้นเลย เลิกทำไปแล้วครับ เสาซาแลนก็ หักๆล้มๆ ยังเสียดายมาจนถึงทุกวันนี้ครับ อย่างว่าครับ ตอนมีของดีไม่รู้จักรักษา เสียไปแล้ว ถึงจะ มาเสียดายครับ 55555 ถ้าท่านแม่เลี้ยงสนใจ เดี๋ยวผม จัดให้ครับ แต่เท่าที่วันนี้เดินลุยดงหญ้าไปดูๆ สงสัยว่า คงเพราะโดนน้ำท่วม เมื่อก่อนปีใหม่ เลยตายไปซะเกือบหมดเลย เยอะมากๆ น่าเสียดาย แต่พอยังจะมีพวกกะโหลกแข็ง รอดมาได้เป็นบางส่วน ครับ พวก ฟินโลใบมะละกอ(แซลุ่ม)ก่อนน้ำท่วม ไปดูมา ข้อต้นใหญ่ เท่าขาผมเลยครับ ใบใหญ่มากๆๆๆๆๆ วัดได้เป็น ซอกกว่าสองซอกเลยครับ ข้อลำต้นเลื้อยยาวเป็นเมตรๆ ได้ฟิล อเมซอนมากๆ แต่วันนี้เดินไปดู เหลืออยู่หลอมแหลมขอดๆแกรนๆ น่าเสียดายครับ มีอีกหลายพันธุ์เลยครับ ที่เคยเลี้ยงไว้ เรียบร้อยหมด เฮ้อออออ มานึกเสียดายก็สายไปแล้วครับ ส่วน เฟิร์นข้าหลวงหลังลายนี่ เห็นที่ปากคลองเค้าก็ขายใบกันอยู่นะครับ ผมเคยไปได้ เฟิร์นข้าหลวงที่มัน ผ่าเหล่ามาด้วยครับ เจ้าของสวนที่เพาะได้เค้าเอาไปปั่นเป็นไม้ขวด ออกมา ลักษณะ แปลกดีครับ เจ้าของหวงมากๆ ผมไปแค่นขอซื้อมาได้ ร้อยต้น แต่ นะครับ ตายไปหมดแล้ววววว รูปถ่ายก็ไม่มีมาให้ดู กรรม ครับ  

ปล. ตระกูลฟินโล ผมชอบ มอลเตร่า ก็ สวยนะครับ แต่ก่อนผมสั่งเมล็ดจากนอก เข้ามาเพาะ เองเลย แต่ นะครับ ตายเรียบหมดแล้วครับ เฮ้อออออ ถ้าเป็น ไม้ประดับตัวอื่นๆ ก็ชอบ พวก สัปปะรสสีน่ะครับ(บรอมีเลียด)ครับ


พูดคุย เรื่องนก บรรยากาศเป็น กันเอง สบายๆ